หุ้นยางพาราคึกต่อหลังผลประกอบการปี 67 ฟื้นตามราคายางขาขึ้น สวนทาง Supply ยังขาลง เหตุหลายประเทศเปลี่ยนไปปลูกพืชเกษตรชนิดอื่น บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนทำให้เร่งสต๊อกยางมากขึ้นกลางปีนี้ โบรกฯ ประเมิน บจ. ผลิตยางพาราสดใสถ้วนหน้า ขณะผู้บริหารแต่ละแห่งมั่นใจผลงานปีนี้เติบโตสูงหลังเดินหน้าผลิตยาง EUDR ที่ราคาสูงกว่ายางทั่วไป แนะนำ “ ซื้อ ” หุ้น STA TEGH และ NER เด่นของกลุ่ม
หลังจากนาย "หลี่ เฉียง" นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศลั่นเพื่อกระตุ้นการบริโภคกลางเวทีประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ เตรียมพร้อมออกบอนด์ 1.3 ล้านล้านหยวน หรือกว่า 6.24 ล้านล้านบาท ภายในปีนี้เพราะรัฐบาลจีนตั้งเป้าผลักดันภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต 5% ด้วยการจัดทำงบขาดดุล 4% ของ GDP พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการบริโภคในประเทศ และเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น หนึ่งในปัจจัยของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ช่วยจำกัด Downside Risk ของราคายาง คาดจีนจะเร่ง สต๊อกยางมากขึ้นช่วงกลางปี และล่าสุดตัวเลข PMI เดือน ก.พ. ขยับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลดีต่อหุ้นในหลายกลุ่ม และหนึ่งในนั้นคือ “ยางพารา” ซึ่งหลังจากการปีที่ผ่านมา ความต้องการยางพาราแม้จะไม่ได้คึกคักนักช่วงต้น แต่ครึ่งหลังปี 67 พบว่าดีมานด์หรือความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 4 และต่อเนื่องมาถึงปี 68 อีกทั้งแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประสานเสียงปีนี้บริษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่จะมีผลการดำเนินงานที่สดใส หลังผลงานไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาพบว่าฟื้นตัวดี
STA ได้ยาง EUDR หนุน ผลงานพุ่ง
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย ) ประเมินแนวโน้มกำไรปกติของ STA หรือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ไตรมาสแรกปี 68 ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน จากธุรกิจถุงมือยางที่จะไม่มีดอกเบี้ยรับจากทาง กยท. แต่คาดพลิกขาดทุนจากปีก่อนได้ จากการฟื้นตัวของธุรกิจถุงมือยางและยางพารา คงมุมมองบวกต่อภาพอุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 คาดราคายางมีโอกาสปรับขึ้นต่อปริมาณ Supply ปัจจุบันที่หดตัว ปรับประมาณการกำไรปี 2568-2569 ลงเฉลี่ย 50% เป็น 1,908 ล้านบาท และ 2,424 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อเพิ่มความ Conservative บนสมมติฐาน EUDR ลง และสะท้อนราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ”
บล.ทรีนีตี้ ประเมินไตรมาสแรกปีนี้ของ STA คาดผลการดําเนินงานเติบโตได้จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากราคาขายที่สูงกว่าไตรมาสแรกปี2567 และคาด STA สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ขณะที่ราคาขายทั้งปี 2568 คาดสูงกว่าปี 2567 จาก Supply ที่ยังคงอยู่ขาลง และในหลายประเทศมีการเปลี่ยนไปปลูกพืชเกษตรชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ขณะที่การบังคับใช้มาตรการ EUDR ที่จะหนุนราคาขายของ STA ให้สูงกว่า SICOM แนะนํา “ซื้อเก็งกำไร”
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ STA แจ้งผลงานไตรมาส 4 ปี67 มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 33,256.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.2% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 854.3 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 62.5% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากราคายางธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นและการผลักดันการขายอย่างเต็มที่ อีกทั้งมีวัตถุดิบเพียงพอ ไม่มีปัญหาการขาดแคลนจากปรากฏการณ์เอลนีโญเช่นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณการขายยางธรรมชาติรวมทุกประเภท 386,956 ตัน เพิ่มขึ้น 23.4% จากช่วงเดียวกันของปีuอน และเพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสก่อนหน้า ในจำนวนนี้เป็นการขายและส่งมอบยาง EUDR 68,867 ตัน เพิ่มขึ้น 9.7% จากไตรมาสก่อนหน้า (ช่วงเดียวกันของปีก่อนยังไม่มีการขายยาง EUDR) รวมถึงได้รับปัจจัยบวกจากราคาขายยางธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 7 ไตรมาส อยู่ที่ 196.6 เซนต์ต่อกิโลกรัม
ขณะที่ปี 67 มีรายได้จากการขายและบริการ 114,373.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,670.4 ล้านบาท พลิกจากผลขาดทุน 434.4 ล้านบาทในปีก่อน มีปริมาณการขายยางธรรมชาติรวมทุกประเภท 1.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8.3% จากปีก่อน โดยเป็นยาง EUDR ที่มีมูลค่าสูงกว่ายางทั่วไป 133,163 ตันเริ่มส่งมอบแก่ลูกค้าตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี67 และจากผลการดำเนินงานที่พลิกฟื้น คณะกรรมการ จึงอนุมัติจ่ายเงินปันผลอัตรา 1.00 บาทต่อหุ้นวันที่ 8 พฤษภาคมนี้
และมองภาพรวมอุตสาหกรรมยางพาราปี 68 คาดว่าราคายางเฉลี่ยจะไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ยทั้งปี 174.3 เซนต์ต่อกิโลกรัม โดยราคายาง TSR20 ณ ตลาด SICOM เดือนมกราคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 193.8 เซนต์ต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2567 ขณะที่บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มปริมาณการขายยางธรรมชาติรวมทุกประเภทปี 2568 ให้มากกว่าปีก่อนที่ทำได้ 1.6 ล้านตัน (รวมปริมาณขายน้ำยางข้นให้ STGT) ควบคู่กับการเพิ่มส่วนแบ่งยางธรรมชาติในตลาดโลก
TEGH ปีนี้รายได้โต 30%
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองหุ้น บมจ. ไทยอีสเทิร์นกรุ๊ป โฮลดิ้ง หรือ TEGH หลังบริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปี 68 ที่ 40% และคงเป้าปริมาณขายยางที่ 2.5– 2.8 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 15-20% เทียบปีก่อน อีกทั้งธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (TEBP) ที่จะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่าย Bio gas ให้กับ GGC เต็มปี หนุนรายได้อีก 120 ล้านบาท และ TEGH มีแผน Spin Off บริษัทย่อยภายในสิ้นปีนี้ ดังนั้น เบื้องต้นจึงคงประมาณการกำไรปกติปี 68 ที่ 723 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.2% คงราคาเหมาะสม 5.00 บาท คาด TEGH จ่ายผลตอบแทนเงินปันผลราว 8% แนะนำ "ซื้อ"
บล.ทรีนีตี้ คงราคาเป้าหมายหุ้น TEGH ปี 2568 ที่ 4.9 บาท อิง PER 7.5 เทา ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside ค่อนข้างสูง นอกจากนี้บริษัทยังจ่ายปันผลอีก 0.21 บาท (XD 19 มี.ค. 68) คิดเป็น Div.Yield ราว 6% ทำให้เรายังคงคำแนะนำ“ซื้อ” ส่วนความเสี่ยงได้แก่ ความผันผวนของราคายางและปาล์มน้ำมัน
โดยมองแนวโน้ม กําไรปี 68 ของ TEGH ค่อนข้างสดใส เนื่องจากธุรกิจยางยังได้รับแรงหนุนจากความ ต้องการยาง EUDR ที่ยังสูงต่อเนื่อง โดยคาดจะมีลูกค้าอีกหลายรายที่ต้องเริมสั่งยาง EUDR ช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อรองรับการผลิตและส่งออกในปี 69 ขณะที่ธุรกิจปาล์มนอกจากจะมีปัจจัยบวกภายใน จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลตด้วยการเพิ่มหม้อนึ่งใหม่ และปัจจัยบวกจากฤดูกาลที่คาดว่าปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่ปีก่อนแล้ง ทำให้ปริมาณปาล์มโดยรวมเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาขายปาล์มที่คาดว่าจะดีต่อเนื่องจากการที่อินโดฯ ลดการส่งออกน้ำมันปาล์ม เพื่อนําไปผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น ส่วนธุรกิจพลังงานคาดจะเห็นรายได้และกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดดการขายก๊าซชีวภาพให้กับ GGC และยังมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพช่วงครึ่งปีหลัง จึงปรับประมาณการกําไรปี 68 ขึ้น 19% จากประมาณการก่อนหน้าขึ้นเป็น 699 ล้านบาท เติบโต 26% จากปีก่อน
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH แจ้งผลงานปี 67 มีรายได้ 16,843.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.36% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่บริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีกำไรสุทธิ 556.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.86% หรือเพิ่มขึ้น 202.60% ก่อนหักรายการพิเศษบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์ถาวรของบริษัทย่อย 94.05 ล้านบาท ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทฯ จึงอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลอัตราหุ้นละ 0.21 บาท และจ่ายเงินปันผลวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 นี้
ขณะปี 68 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 30% แตะระดับ 22,000 ล้านบาท จากทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์ม และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแท่ง มีโอกาสที่ยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 250,000-280,000 ตัน และราคายางธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น โดยที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ TEGH มียอดการผลิตและจำหน่ายยางแท่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งปี 2567 มียอดขายยางแท่ง 220,284 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มียอดขาย 197,240 ตัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 11.68% โดยยางแท่งที่ 66.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 47.75% จากการขยายกำลังการผลิตยางแท่งที่เพิ่มขึ้นเป็น 390,000 ตันต่อปี และมีปริมาณขายยางแท่งเกรด EUDR ทั้งหมดที่ 51,743 ตัน โดยคิดเป็นสัดส่วนยางแท่งเกรด EUDR ถึง 45.11% ของปริมาณส่งออกยางแท่งทั้งหมดในครึ่งปีหลัง ซึ่งความต้องการสินค้ายางแท่งเกรด EUDR โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่ถึงแม้จะมีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไปอีก 1 ปี (เริ่มบังคับใช้ 31 ธันวาคม 2568)
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ มีแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเทิร์นอะราวด์ในปีนี้ หลังจากปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจะ เตรียมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลปีนี้ และธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างโดดเด่น เตรียมขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพโซน 3 เฟสที่ 2 เพิ่มอีก 90,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ควบคู่กับการศึกษาและพัฒนายกระดับขึ้นเป็นก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) เพื่อใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งในอนาคต
NER โตแกร่ง โบรกฯให้ “ถือ”
บล.ดาโอ คงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น NER บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด(มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท อิง 2025E PER 6x (5-yr average) NER รายงาน กำไรสุทธิไตรมาส 4ที่ 359 ล้านบาท ลดลงจากทั้งปีก่อนและไตรมาสก่อน ขณะกำไรปกติ (ไม่รวมขาดทุน Fx) อยู่ที่ 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนและไตรมาสก่อน ใกล้เคียงตลาดและที่คาด ส่วนกำไรปกติขยายตัวจากปีก่อน หนุน โดยราคาขายสูงขึ้นถึง 27% ตามทิศทางราคายางในตลาดและ SG&A ปรับตัวลงตามสัดส่วนการ ส่งออก แต่ปัจจัยเหล่านี้ถูก offset บางส่วนจาก GPM ลดลง -250bps เป็นผลจากต้นทุนยางสูงขึ้น ซึ่งบริษัทบันทึกโดยวิธีถัวเฉลี่ย ขณะที่กำไรปกติฟื้นตัวสูงจากไตรมาสก่อน หนุนโดยปริมาณขายขยายตัว 39% จาก high season และสถานการณ์วัตถุดิบและภัยแล้งทยอยคลี่คลาย
ขณะมองกำไรปี 68 ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มเล็กน้อยจากปีก่อน ส่วนไตรมาสแรกปีนี้เบื้องต้นคาดการณ์กำ ไร ปกติมีแนวโน้มชะลอ จาก GPM ลดลงจากฐานสูงใน ไตรมาสแรกปี 67 และปริมาณขายปรับตัวลง หลังผ่าน high season ราคาหุ้น outperform SET +10%/+16% ใน 1/3 เดือน โดยระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสได้ sentiment บวกหลังประกาศจ่ายปันผลครี่งหลังปี 67 ที่ 0.31 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield สูงที่ 6%
บล.ทรีนิตี้ มองว่า แนวโน้ม ปี 68 NER ราคายังยืนแข็งแกร่ง ปรับกลยุทธ์การขายรับ ประโยชน์ราคาขาขี้น จึงให้คำแนะนำ Trading Buy และราคาเป้าหมาย 5.15 บาท อิง PER ที่ 5.1 เท่า NER ยังคงเป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี 0.31 บาท Dividend Yield 6% นอกจากนี้ PBV ยังอยู่ระดับ 1.1 เท่า ROE 20% นอกจากนี้จะยังมี growth จากการขยายกำลังผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ คาดกำไรปี 68 ที่ 1.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน ผู้บริหารยังมีความมั่นใจที่ยอดขาย 5 แสนตัน โดยจะมีลูกค้าใหม่ๆ จากอินเดียที่จะทยอยเริ่มคำสั่งซื้อในครึ่งปีหลัง และยังคงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 5.1 แสนตัน เป็น 8.3 แสนตัน ในปี 70 โดย Phase 1 คาดจะเริ่มการสร้างโรงงานแห่งใหม่ครึ่งปีหลัง คาดแล้วเสร็จครึ่งแรกปี69 จะเพิ่มกำลังการผลิตในปี ดังกล่าว 30% โดยปัจจุบันบริษัทได้เจรจากับลูกค้าใหม่ เพื่อรองรับการเพิ่มกำลังการผลิต โดยเป็นลูกค้าอินเดียรายใหญ่ ซึ่งอินเดียเองยังมีความต้องการยางค่อนข้างมาก อีกทั้งอินโดนีเซียที่มีปัญหาต้นยางตาย ลูกค้าจึงหาแหล่งยางที่มั่นคง
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER เผยแนวโน้มปริมาณขายยางไตรมาสแรกปี68อาจลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และส่งผลต่อการลดลงชองรายได้ 6-7% แต่ยังมั่นใจว่าปริมาณขายยางทั้งปีจะทำได้เข้าเป้า 500,000 ตัน และดันรายได้แตะ 34,000 ล้านบาทตามแผน ขณะ NET Margin ยังคงรักษาไว้ที่ 6-7% เพราะมองว่าแนวโน้มราคายางพารายังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องไปอีก 5 ปี จากดีมานด์ที่เข้ามา จากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
ดังนั้น ปีนี้ NER จะเน้นขายไปยังอินเดียเพิ่ม หลังพบว่าตัวเลขดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิต (PMI) ของอินเดียพุ่งสูงใกล้แตะระดับ 60 สะท้อนดีมานด์เพิ่มจากที่เคยเน้นจีนเป็นหลัก ซึ่งปี 68 ได้ลูกค้าอินเดียใหม่ 2 ราย ถือเป็นการบริหารพอร์ตลูกค้าของบริษัทด้วย ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตโรงงานยางแท่งเฟส 3 (STR3) ด้วยงบ 2 พันล้านบาท หนุนกำลังการผลิตเพิ่มอีก 320,000 ตัน คาดแล้วเสร็จกลางปี69 และเริ่มผลิตไตรมาส 3 หนุนกำลังการผลิตรวมที่ 835,600 ตันในปี 70