ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองทิศทางเงินบาทในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มกลับไปอ่อนค่า แม้ราคาทองคำซึ่งเป็นปัจจัยหนุนในทางแข็งค่าจะยังทำนิวไฮต่อเนื่อง แต่หากพิจารณาตามปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมาอย่างช้า ทำให้เงินบาทมีน้ำหนักไปในทางอ่อนค่า คาดแตะระดับ 35.50 ในสิ้นปีนี้ สลับกับปรับตัวแข็งค่าเป็นช่วงๆ ตามราคาทองคำ
น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดเปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทในระยะถัดไปยังมีแนวโน้มอ่อนค่า แม้ว่าภาพรวมของราคาทองคำจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ภาพรวมความต้องการทองคำทั่วโลกทยอยฟื้นตัวกลับมาในปี 2564-2567 และน่าจะต่อเนื่องในปี 2568 ตามแรงซื้อของผู้เล่น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธนาคารกลาง นักลงทุน และผู้บริโภค นำโดยแรงซื้อสะสมเข้าทุนสำรองของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก และเมื่อรวมกับผลของราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลทำให้สัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 19.7% ณ สิ้นปี 2567 และมีแนวโน้มขยับเข้าใกล้ระดับ 20% ต่อเนื่องในปีนี้ (จาก 12.2% ในช่วงปี 2562 ก่อนโควิด-19)
นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำก็ขยับเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกที่นักลงทุนนิยมมีติดพอร์ตไว้เพื่อกระจายการลงทุน ขณะที่ผู้บริโภคทั่วไปซื้อสะสมทองคำเพื่อการออมและเป็นเครื่องประดับด้วยเช่นกัน
สำหรับไทยทองคำในทุนสำรอง รวมถึงพฤติกรรมการออม/ลงทุนในทองคำของคนไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน สะท้อนจากสัดส่วนทองคำในทุนสำรองของทางการไทยที่เพิ่มขึ้นมาที่ 8.3% ณ สิ้นปี 2567 ขณะที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคและยอดขาดดุลในหมวดทองคำก็เร่งตัวขึ้นตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกช่วงปี 2564-2567
ในขณะที่นักลงทุนไทยมีช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นในการลงทุนทองคำ โดยนอกจากจะลงทุนในรูปการซื้อขายทองคำแท่งแล้ว ยังสามารถเปิดบัญชีซื้อขายทองคำออนไลน์ และลงทุนในอนุพันธ์ทองคำหรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ Gold Online Futures ที่ราคาจะเคลื่อนไหวตามราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งล่าสุด 18 มี.ค.2568 มีการเปิดสถานะคงค้าง (Open Interest) ที่ประมาณ 48,156 สัญญา เพิ่มขึ้นจากที่มีการเปิดสถานะคงค้าง 27,281 สัญญาณ สิ้นปี 2567
**ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำ-ค่าเงินบาท**
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB กับราคาทองคำกลับสวนทางกัน (ทองขึ้น บาทแข็ง) เนื่องจากนักลงทุนไทยมักเทขายทองคำเมื่อราคาทองปรับสูงขึ้น ประกอบกับการออม/การลงทุนในทองคำของไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทิศทางของเงินบาทในบางช่วงได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะ ซึ่งคือ การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก ทั้งนี้ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างราคาทองคำในตลาดโลกและ USD/THB ในช่วงย้อนหลัง 12 เดือน อยู่ที่ -0.83 ซึ่งสะท้อนว่า ราคาทองคำในตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม โดยเงินบาทมักจะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้น (ราคาทองคำตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นแรงขายทองคำของคนไทยและร้านค้า ซึ่งทำให้มีแรงขายเงินดอลลาร์เพื่อแลกกลับเป็นเงินบาทตามมา)
และจากความเคลื่อนไหวที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูงระหว่างเงินบาทกับทองคำดังกล่าว ทำให้เงินบาทมีความผันผวนมากกว่าสกุลเงินเอเชียอื่นๆ โดยค่าความผันผวนของเงินบาทปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 7.5-8.5% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ผันผวนเท่าราคาทองคำในตลาดโลกที่มีค่าความผันผวนสูงถึง 13-15% แต่สูงกว่าความผันผวนของเงินบาทที่เคยเป็นในอดีต
**ศก.ฟื้นช้าปัจจัยกดดันบาทอ่อนค่า**
ทั้งนี้ แม้นักวิเคราะห์ยังมองราคาทองโลกอาจสูงขึ้นได้อีก (หลังจากที่ทะยานขึ้นทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใกล้แนว 3,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ซึ่งอาจมีผลหนุนทิศทางเงินบาทในระยะสั้น แต่ยังคาดว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงในระยะที่เหลือของปี เพราะมีปัจจัยอื่นที่มีน้ำหนักมากกว่า
จากทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกที่หลายฝ่ายมองว่ามีโอกาสเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบสูงกว่าระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ท่ามกลางแรงหนุนจากความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังแข็งแกร่ง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทอาจแข็งค่าในระหว่างปีตามสัญญาณของราคาทองคำและความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากสงครามการค้า
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า หากย้อนกลับมามองที่ปัจจัยพื้นฐานของเงินบาท โดยเฉพาะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องรับมือกับความไม่แน่นอนหลายด้าน ตลอดจนการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของไทย คาดว่า เงินบาทยังคงมีโอกาสกลับไปอ่อนค่าในช่วงที่เหลือของปี 2568 (ประมาณการค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2568 โดยธนาคารกสิกรไทย อยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์)