นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (19 มี.ค.) ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.58 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้างในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.56-33.65 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ออกมาดีกว่าคาด เช่น ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกุมภาพันธ์ ที่โต +0.7% จากเดือนก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์แข็งค่าได้ไม่นาน หลังสภา Bundestag ของเยอรมนี ได้อนุมัติการปฏิรูปกฎเกณฑ์การกู้เงิน (Debt Brake) ของรัฐบาลตามที่ตลาดคาดหวัง หนุนให้เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นบ้างเข้าใกล้ระดับ 1.095 ดอลลาร์ต่อยูโร ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทถูกชะลอลงบ้างตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่แถวโซน 3,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) โดยในส่วนของ BOJ เราคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอติดตามแนวโน้มของการต่อรองค่าจ้างและผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ทว่า BOJ อาจย้ำจุดยืน พร้อมทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามความเหมาะสมของสภาวะเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ BOJ ส่วนทาง BI นั้น แม้ว่าบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.75% ทว่า มีโอกาสที่ BI อาจเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการลดดอกเบี้ย 25bps หลังภาพรวมเศรษฐกิจอินโดนีเซียส่งสัญญาณชะลอตัวลงมากขึ้น ขณะที่ความกังวลต่อเสถียรภาพของค่าเงินอินโดนีเซียรูเปียะห์ (IDR) อาจลดลงไปบ้าง หลังเงินดอลลาร์ได้ทยอยอ่อนค่าลง
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงิน ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีกราว 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้
และในฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลต์สำคัญที่ควรติดตามอย่างยิ่งจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันพฤหัสฯ โดยเราประเมินว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ให้แน่ชัด โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทั้งนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ (Summary of Economic Projections) และคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ โดยเราประเมินว่า เฟดอาจคงคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจส่วนใหญ่ แต่อาจปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ PCE ในปีนี้ได้บ้าง ขณะที่ Dot Plot ใหม่อาจยังคงไม่ต่างจากการประชุมเดือนธันวาคมปีก่อน ที่สะท้อนว่า เฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะยาว (Longer run) อาจสูงกว่าระดับ 3.00% เล็กน้อย
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด ทว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ และ BI โดยในส่วนของผลการประชุม BOJ นั้น หาก BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม อย่างที่ผู้เล่นในตลาดคาดหวังว่า BOJ มีโอกาสราว 30% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ อาจกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวต้าน 150 เยนต่อดอลลาร์ (หรืออ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว) ได้ไม่ยาก ส่วนในฝั่งของการประชุม BI นั้น ในเชิงสถิติรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เราพบว่า เงินบาท (USDTHB) อาจผันผวน +0.16%/-0.11% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BI ได้ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีโอกาสที่ BI อาจลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาด ส่งผลให้เงินอินโดนีเซียรูเปียะห์ (IDR) อาจอ่อนค่าลงบ้าง จนส่งผลกระทบต่อสกุลเงินฝั่งเอเชียอย่างเงินบาทได้ตามข้อมูลสถิติในอดีต
ส่วนในช่วงราว 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันพฤหัสฯ เราขอเน้นย้ำว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัว +/-0.30% ในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟดได้ โดยเรามองว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ คาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร จากล่าสุดที่ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 35% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีหน้า