xs
xsm
sm
md
lg

SCB EIC ชี้แนวทางรับซื้อหนี้เสียแบงก์ต้องดู 2 เงื่อนไข คงเป้าจีดีพีปีนี้โตแค่ 2.4%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวถึงแนวทางที่ได้มีการเสนอให้ตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อรับซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินว่า ขณะนี้อาจจะยังไม่สามารถให้ความเห็นได้ เนื่องจากยังไม่รู้แนวทางและหลักการของมาตรการดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี การที่จะแก้หนี้ได้ยั่งยืนจะต้องเพิ่มรายได้ของประชาชนด้วย และภาคธนาคารพยายามประคับประคองลูกหนี้ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถของลูกค้า และกรอบสำคัญของแนวทางการรับซื้อหนี้นั้นจะต้องมองใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ที่มาของแหล่งเงินทุน เพราะจะเป็นภาระทางการคลัง และ 2.เรื่อง Moral Hazard หรือวินัยทางการเงิน โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประเด็นดังกล่าวอย่างเหมาะสม

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 คาดการณ์อัตราการเติบโตของจีดีพีที่คาดการณ์ในระดับ 2.4% นับเป็นอัตราที่ชะลอลงจากระดับ 2.5% ในปีก่อน จาก 2 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะยังไม่มีความชัดเจน แต่ได้ส่งผลกระทบในด้านของความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคธุรกิจแล้ว ขณะที่การส่งออกของไทยน่าจะเริ่มได้รับผลกระทบในช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง ซึ่ง EIC ได้ปรับลดประมาณการการส่งออกในปีนี้ลงมาที่ 1.6% จากปีก่อนที่ 5.8% เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงประมาณ 18% ของการส่งออก ขณะเดียวกันไทยยังจะเผชิญสินค้าจากประเทศที่ถูกลดนำเข้าทะลักเข้ามา ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 25% ซึ่งจะส่งต่อดุลการส่งออก-นำเข้าสุทธิของไทยในอนาคต

อีกปัจจัยที่สำคัญคือประเด็นแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยนับจากโควิด-19 เป็นต้นมา โดยประเทศไทยนับเป็นลำดับท้ายๆ ที่อัตราการเติบโตของจีดีพีกลับมาสู่ช่วงก่อนโควิด (2562) ได้โดยใช้เวลาถึง 4 ปี อันเนื่องมาจากประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาภาคท่องเที่ยวสูง และปัญหาเชิงโครงสร้าง และหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้รายได้ฟื้นตัวช้า โดยประมาณแล้วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาความมั่งคั่งหรือรายได้ที่หายไปในดังกล่าวสูงถึง 6 ล้านล้านบาท

**คาด กนง.ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง**
สำหรับปัจจัยบวกของเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้อยู่ แต่ต้องติดตามในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และประเด็นความปลอดภัยที่อาจจะทำให้การเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตราที่ชะลอลง โดย EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวเข้าไทยลดลงมาที่ 38.2 ล้านคน จากเดิมที่ 38.8 ล้านคน และอีกปัจจัยเป็นส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังเป็นบวกแต่จะกระทบต่อหนี้สาธารณะซึ่งจะทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้จ่ายของภาครัฐในระยะต่อไป ดังนั้น ในระยะต่อไปการใช้จ่ายภาครัฐนอกจากจะเน้นที่การกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วยังต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพการหารายได้ของประชาการควบคู่ไปด้วย

"เรายังคงประมาณการจีดีพีปีนี้ที่ 2.4% ซึ่งได้รวมส่วนของ Digital Wallet ที่ 1.4-1.5 แสนล้านบาทไปแล้ว โดยเศรษฐกิจไทยแนวโน้มยังเปราะบาง จากผลกระทบของนโยบายทรัมป์ และปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่ฉุดรั้ง ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในรูปแบบ 'ลงลึก ฟื้นช้า' คือลงไปลึกช่วงโควิดที่ 6.2% แล้วฟื้นตัวได้ช้าคือจีดีพีเฉลี่ยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเติบโตแค่ 2.1% ขณะที่ในปีนี้มองว่าในไตรมาสแรกจีดีพีจะเติบโตสูงสุด และชะลอลงในไตรมาสต่อๆ ไปตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายสงครามการค้า ดังนั้น EIC จึงคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ เหลือ 1.5% จากปัจจุบันที่ 2.25% โดยคาดการณ์ลด 1 ครั้งในเดือนมิถุนายน และครึ่งปีหลังอีก 1 ครั้ง"

นายยรรยงกล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาแผลเป็นทางเศรษฐกิจนั้นไม่สามารถทำได้ในวันสองวัน ต้องใช้เวลาในการแก้ไข โดยต้องมองให้ครบรอบด้านอย่างบูรณาการ ซึ่งที่ผ่านมาภาคการเงินได้ช่วยประคับประคองอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันจะต้องทำในเรื่องของการเพิ่มศักยภาพในการหารายได้เพิ่มของแรงงาน-ธุรกิจควบคู่ไปด้วย รวมถึงการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุน และปรับขั้นตอนต่างๆ ทางกฎหมายเพื่อเอื้อให้ธุรกิจที่ประสบปัญหาสามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น คือ การแก้ปัญหาแผลเป็นทางเศรษฐกิจต้องทำทั้งมาตรการระยะสั้นควบคู่กับมาตรการระยะยาว โดยเฉพาะการเพิ่มความสามารถในการหารายได้ เพื่อให้ Balance Sheet ของครัวเรือนที่ติดลบกลับมาเป็นบวก

สำหรับการชะลอตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์นั้น มองว่า นอกจากเป็นการระมัดระวังในฝั่งของธนาคารพาณิชย์อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและปัญหาคุณภาพหนี้แล้ว ทางฝั่งความต้องการในการกู้ยืมลดลงด้วยเนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และปัญหารายได้ไม่พอต่อรายจ่าย ส่งผลให้สินเชื่อชะลอลง ซึ่งในปีนี้เชื่อว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ยังชะลอลง
กำลังโหลดความคิดเห็น