xs
xsm
sm
md
lg

“แกะพอร์ตประกันสังคม หุ้นใหญ่มาเต็มแต่ยังไม่เพียงพอ ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 ส่องพอร์ตลงทุน “กองทุนประกันสังคม” 2.645 ล้านล้านบาท ภาพรวมปีก่อน กำไร 7.19 หมื่นล้านบาท เป็นดอกเบี้ยและตราสารหนี้ 4.27 หมื่นล้านบาท อีก 2.91 หมื่นล้านบาทมาจากหุ้น จากการถือ PTT ADVANC CPALL มากสุด ส่วนต่างแดนถือ Apple Inc NVIDIA Corp. Microsoft Corp.และTESLA พบสัญญาณรายจ่ายเริ่มพุ่ง รายรับเริ่มหดตัว รับสังคมสูงวัยหนุนเงินจ่ายเกษียณพุ่ง จับตาเกมปรับแผนลงทุน เน้นสินทรัพย์เสี่ยง ลงทุนต่างประเทศมากขึ้น จะเพียงพอหยุดยั้งวิกฤตเงินหมดหรือไม่

เอาเข้าจริงปัญหาของกองทุนประกันสังคมมีการพูดถึงมาในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่กรณีที่ถูกหยิบยกในปัจจุบันเช่นการดูงานต่างประเทศ และผู้บริหารได้สิทธิ์บินชั้นเฟิร์สคลาส เป็นเพราะมีการศึกษาพบว่าหากกองทุนประกันสังคมไม่ปรับตัวจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจเกิดปัญหาครั้งใหญ่ ถึงขั้นล่มสลาย

กองทุนประกันสังคมถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีแนวคิดให้เป็นกองทุนที่สร้างหลักประกันและความมั่นคง เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำรงชีพแก่ลูกจ้าง ความพอเพียงของเงินกองทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญโดยถูกเดิมพันด้วยความไว้วางใจระหว่างภาครัฐและประชาชนผู้ประกันตนที่ถูกหักเงินส่งสมทบเข้ากองทุน

ทั้งนี้พบว่าปัญหาความไม่เพียงพอของเงินกองทุนประกันสังคมมีสาเหตุมาจากและปัจจัยเช่นเพดานค่าจ้างการจ่ายเงินสมทบไม่ได้ถูกปรับมาเป็นเวลานาน ถัดมาอัตราสมทบที่จัดเก็บอยู่ในระดับต่ำเกินไปรวมถึงอายุผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินบำนาญชราภาพต่ำเกินไป ปัญหาเหล่านี้คล้ายระเบิดเวลาที่จะปะทุขึ้นอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า

โครงสร้างสังคมเปลี่ยน

นั่นเพราะเมื่อพิจารณาจากรูปแบบการประกันสังคมและปัจจัยโครงสร้างทางสังคมต่างๆทำให้กองทุนต้องเผชิญกับความเสี่ยงรายได้เช่นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประชากรที่ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้อัตราการเข้าสู่กำลังแรงงานและอัตราการเกิดของประชากรลดลง ส่งผลให้มีแรงงานเข้าสู่ระบบประกันสังคมน้อยลงตามไปด้วย

ขณะที่รายจ่ายสิทธิประโยชน์ต่างๆเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจึงทำให้กองทุนประกันสังคมมีแนวโน้มที่จะมีเงินไม่เพียงพอต่อการจ่ายสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนพึงจะได้รับโดยเฉพาะการดูแลผู้ประกันตนในช่วงชราภาพ

ดังนั้น กองทุนไม่มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ทั้งในส่วนของการส่งเงินสมทบและการจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนจะพบว่ารายรับจากเงินสมทบจะลดลงเฉลี่ย 0.13% ต่อปีตามโครงสร้างประชากรในวัยทำงาน ขณะที่รายจ่ายจากสิทธิประโยชน์ต่างๆจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.16% ต่อปี

รายจ่ายมีแต่เพิ่ม

มีการประเมินว่ากองทุน 4 กรณี (ซึ่งครอบคลุมกรณีเจ็บป่วยคลอดบุตรทุพพลภาพและตาย) จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.86% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลและการที่ผู้ประกันตนมีอายุค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นส่งผลให้รายจ่ายสิทธิประโยชน์จะสูงกว่ารายรับจากเงินสมทบและเริ่มใช้เงินสะสมในปี 2585 ซึ่งจะทำให้เงินกองทุนจังหวัดลดลงในปี 2613

เช่นเดียวกับกองทุน 2 กรณี (กองทุน 2 กรณีซึ่งครอบคลุมกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ) ที่ได้จ่ายจากสิทธิประโยชน์ต่างๆจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.65% ต่อปีและจะเริ่มใช้เงินสะสมในปี 2572 และเงินกองทุนจะหมดลงในปี 2598 ซึ่งต่างกับกองทุนว่างงานจะจ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.13% ต่อปี ทำให้เงินกองทุนเพียงพอตลอดระยะเวลาประมาณการ 80 ปีแต่หากเกิดปัญหาการว่างงานอย่างเช่นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ก็อาจทำให้กองทุนมีความเสี่ยงได

ส่องพอร์ตกองทุน

ขณะเดียวกัน ข้อมูลการลงทุนจากเว็บไซต์ประกันสังคมด้านการลงทุนพบว่า เงินลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ 31 ธันวาคม 2567 มูลค่าทั้งสิ้น 2,657,245 ล้านบาท แบ่งเป็น หลักทรัพท์มั่นคงสูง 71.58% และหลักทรัพย์เสี่ยง 28.42%โดยการกระจายการลงทุนในประเทศ 1,800,064 ล้านบาท หรือ 67.74% และลงทุนต่างประเทศ 857,181 คิดเป็นสัดส่วน 32.26% และมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 2.29% ส่วนอัตราผลตอบแทนปี 2567 อยู่ที่ 5.34%

ทั้งนี้ เงินลงทุนรวมของกองทุนประกันสังคม มูลค่ารวม 2,657,245 ล้านบาท นั้นประกอบด้วยเงินจาก 2 ส่วนหลัก คือ 1.) เงินสมทบสะสมจากนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล 1,666,556 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 62.72% และ 2.) เงินผลประโยชน์สะสมที่ได้รับจากการลงทุน 990,689 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.28%

จากข้อมูลพบว่า ในปี 2567 กองทุนประกันสังคม มีผลประโยชนจากการลงทนที่รับรู้แล้ว 71,960 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.) ดอกเบี้ยรับและกำไรจากการขายตราสารหนี้ 42,774 ล้านบาท และ 2.) เงินปันผลรับและกำไรจากการขายหุ้นจำนวน 29,186 ล้านบาท

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ผลกำไรส่วนใหญ่ของประกันสังคมนั้นยังคงมาจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากกรอบนโยบายการลงทุนยังคงจำกัดอยู่ที่สินทรัพย์มั่นคง (เสี่ยงต่ำ) มากถึง 60%

สำหรับสินทรัพย์ที่กองทุนประกันสังคม สามารถเข้าลงทุนได้ คือ 1.ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย 2.พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน 3.หุ้นกู้เอกชน 4.เงินฝากธนาคาร 5.เงินฝากธนาคารที่กฏหมายเฉพาะจัดตั้ง 6.พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน 7.หน่วยลงทุนกองทุนรวม/ทรัสต์ (กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ 8.หุ้นสามัญ

9.สินทรัพย์นอกตลาด กองทุนที่มีนโยบายในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนอกตลาด กองทุน/ทรัสต์ที่มีนโยบายลงทุนในกิจการเงินร่วมลงทุน 10.หน่วยลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่

โดยเงินลงทุนทั้งสิ้น 2,657,245 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุุนในหลักทรัพย์ที่่ มีความมั่่นคงสููง1,902,066 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 71.58% การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง 755,179 ล้านบาท หรือ 28.42% นอกจากนี้พบว่ามีการลงทุนหลักทรัพย์ในประเทศ 1,800,064 ล้านบาท หรือ 67.74% และลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ 857,181ล้านบาท หรือ 32.26% และรับรู้ผลตอบแทนจากการลงทุนหลักทรัพย์ในประเทศ 54,549 ล้านบาท หรือ 75.80% ขณะที่ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ต่างประเทศ 17,411 ล้านบาท หรือ 24.20%

ส่วนการลงทุนในปี 2567 พบว่า กองทุนประกันสังคม มีการลงทุนในตราสารหนี้ไทย 5 อันดับแรกได้แก่ตราสารหนี้กระทรวงการคลังมูลค่า 1,219,512 ล้านบาทหรือ 82.9 3% ของการลงทุนตราสารหนี้ทั้งหมด ตามมาด้วยตราสารหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย 74,700 บาทหรือ 5.08% ตราสารหนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 27,500 บาท 1.87% ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ 19,967 ล้านบาท 1.36% และการรถไฟแห่งประเทศไทย 19,184 ล้านบาทหรือ 1.30%

ขณะที่การลงทุนในหุ้นไทยสิ้นปี 2567 แบ่งเป็นการลงทุนในบมจ. ปตท (PTT) 17,831 ล้านบาท 7.67% บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (ADVANC) 17,758 ล้านบาท 7.64% บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) 17,022 ล้านบาท 7.33% ธนาคาร กสิกรไทย (KBANK) 15,026 ล้านบาท 6.47% บริษัท เอาซีบี เอกซ์ (SCBX) 14,971 ล้านบาท 6.44% บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) 14,767 ล้านบาท 6.36% ธนาคารกรุงเทพ (BBL) 14,080 ล้านบาท 6.06% บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) 12,775 ล้านบาท 5.5 % บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) 11,261 ล้านบาท 4.85% และ บมจ. บางจากคอร์ปอเรชั่น (BCP) 7,693 ล้านบาท 3.3%

สำหรับการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 5 อันดับแรกได้แก่สหรัฐอเมริกา 46,920 ล้านบาท 11.25% ญี่ปุ่น 17,977 ล้านบาท 4.31%จีน 11,073 ล้านบาท 2.66% ฝรั่งเศส 6,866 ล้านบาท 1.65% อิตาลี 6429 ล้านบาท 1.54%

ส่วนการลงทุนหุ้นต่างประเทศของกองทุนประกันสังคม 10 อันดับแรก ได้แก่ Apple Inc 11,712 ล้านบาท 3.24% NVIDIA Corp. 11,554 ล้านบาท 3.20% Microsoft Corp. 10,846 ล้านบาท 3.00% Taiwan Semiconductor Manufacturing Co., Ltd 8,668 ล้านบาท 2.40% Amazon.com Inc. 6,791 ล้านบาท 1.88%

Alphabet Inc 6,714 ล้านบาท 1.86% Tencent Holdings Ltd. 4,437 ล้านบาท 1.23% Meta Platforms Inc. 4,317 ล้านบาท 1.19% TESLA Inc 3,674 ล้านบาท 1.02% และ BROADCOM Inc 3,305 0.91% รวม 72,018 ล้านบาท 19.93%

ปัจจุบันกองทุนประกันสังคม ยังคงสามารถจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนได้มากกว่าเงินที่จ่ายออกไป โดยในเดือน พ.ย. 2567 กองทุนประกันสังคมสามารถจัดเก็บเงินสมทบได้ 19,453 ล้านบาท ลดลงจากเดือน ต.ค. 234.72 ล้านบาท ในขณะที่ได้จ่ายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนไปแล้วทุกรวม 11,791 ล้านบาท แบ่งเป็น มาตรา 33 และมาตรา 39 จำนวน 11,619 ล้านบาท และมาตรา 40 จำนวน 100 ล้านบาท


รายจ่ายมากกว่ารายรับ

และหากย้อนกลับไปดูการเก็บเงินสมทบและการจ่ายผลประโยชน์ ตั้งแต่เริ่มจัดเก็บในอัตราปกติ หลังจากโควิด-19 จะเห็นได้ว่ามีการจัดเก็บประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท หรือ ราว 240,000 ล้านบาท และจ่ายออกประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 130,000 ล้านบาท

นั่นทำให้หากดูจากการจัดเก็บเงินสมทบและการจ่ายสิทธิประโยชน์ จะเห็นได้ว่าหากกองทุนประกันสังคม ยังรักษาส่วนต่างระหว่างยอดจัดเก็บเงินสมทบ และรายจ่ายสิทธิประโยชน์ได้ต่อเนื่องทุกเดือน ก็คงไม่มีปัญหาใน “ระยะสั้น” แต่หากรายจ่ายเริ่มมีมากขึ้นและจัดเก็บเงินสมทบได้น้อยลงเรื่อย ๆ กองทุนประกันสังคมก็จำเป็นจะต้องหาแหล่งรายได้ทางอื่นเข้ามาเติมกองทุนให้ทัน ก่อนจะกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่

โดยพิจารณาจาก ผลตอบแทนในปี 2567 รวม 71,960 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับรายจ่ายปีละกว่า 130,000 ล้านบาท เท่ากับว่าผลตอบแทนการลงทุนของเงินสมาชิก “ติดลบ” ขณะที่กองทุนมีภาระต้องจ่ายเงิน “บำนาญ” มากขึ้นจากสังคมสูงอายุ

ทั้งนี้ คาดหมายว่าไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มตัวแล้ว และกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยขึ้นสุดยอดในระยะต่อไป หรือมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ และมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้น มากกว่า 20% ประชากรทั้งประเทศ

ขณะที่ เด็กเกิดใหม่ในไทยมีจำนวนที่ลดลงต่อเนื่องทุกปี และเมื่อเด็กกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบแรงงานในประเทศ ก็คงพออาจะจะอนุมานได้ว่าในอนาคตผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคมของไทยนับจากนี้ไปก็จะมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ก็จะทำให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้น้อยลงตามไปได้

ข้อครหาซื้ออาคารแพง

สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ นอกจากแผนการกอบกู้เม็ดเงินกองทุนประกันสังคม ยังไม่ได้บทสรุปที่ชัด กลับมีข่าวที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่า กองทุนประกันสังคม มีการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ด้วยราคา 7,000 ล้านบาทในปี 2565-2566 ซึ่งไม่ใช่อาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่เป็นอาคารที่ในอดีตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นตึกร้าง จนกระทั่งมีบริษัทแห่งหนึ่งซื้อตึกไปปรับปรุงซ่อมแซม เมื่อปรับปรุงเสร็จก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ปรับแก้ระเบียบต่างๆ ทำการศึกษา และมีการตัดสินใจลงทุนพอดี

มีรายงานว่า อาคารแห่งนี้ในช่วงปลายปี 2565 มีอัตราการเข้าทำกำไรหรืออัตราการเช่าอยู่ที่ 1% เท่านั้น แม้ปัจจุบันตัวเลขที่ สปส. รายงานมีคนเข้าใช้ตึกประมาณ 40% แต่เป็นตัวเลขที่น่าสงสัย น่าจะมีการรวมผู้เช่าที่คาดว่าจะเข้ามาใช้ในอนาคตด้วย และตัวเลขจริงอาจต่ำกว่า 40% อยู่ที่เพียง 20-30%

โดยในปี 2567 อาคารดังกล่าวทำกำไรประมาณ 40 ล้านบาท แต่ค่าบริหารจัดการรวมกับค่าจ้างกองทุนในการบริหารอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ถ้าทำกิจการด้วยอัตรานี้ต่อไปเท่ากับจะติดลบทุกปี

ล่าสุด สำนักงานประกันสังคมชี้แจ้งว่าการลงทุนมีประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระ 2 ราย โดยมีราคาประเมินตามวิถีพิจารณาจากรายได้ประมาณ 7,300 ล้านบาทและมีการประเมินโดยวิธีพิจารณาต้นทุนประมาณ 8,000 ล้านบาทซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้เข้าลงทุนจริงในราคา 6,900 ล้านบาท

และปัจจุบันอาคาร SKYY9 มีอัตราเช่าพื้นที่ประมาณ 45% ที่เซ็นสัญญาแล้วแบ่งเป็นผู้เช่าใช้พื้นที่ประมาณ 25% และผู้เช่าที่อยู่ระหว่างการทยอยเข้าพื้นที่ภายในปีนี้ประมาณ 20%

นอกจากนี้ทางผู้บริหารอาคารคาดว่าผลตอบแทนเงินสดที่คาดว่าจะได้รับเมื่อมีอัตราการเช่าคงที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งยังไม่รวมมูลค่าที่เกิดขึ้นจากราคาที่ดินและอาคารในอนาคต นั่นทำให้การลงทุนดังกล่าวหากเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.3% ส่งผลให้การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว

ปรับพอร์ตลุยสินทรัพย์เสี่ยง

อย่างไรก็ตาม มีรานงานว่า สำนักงานประกันสังคมเตรียมปรับยุทธศาสตร์พอร์ตลงทุนครั้งใหญ่ ในปี 2568-2570 โดยการเพิ่มลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเป็น 65% และสินทรัพย์มั่นคง 35% โดยวางเป้าหมายพอร์ตการลงทุนต้องสร้าง “ผลตอบแทน” หรือ “Return Income” ด้วยการปรับสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น รวมถึงยังลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพียงแต่ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่คือ หุ้นตัวไหนที่ทำกำไรได้ กองทุนประกันสังคมอาจจะมีการทบทวนขายไป และซื้อเข้าใหม่ได้ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ประกันตน

ขณะที่ในปี 2568 กองทุนประกันสังคม ตั้งเป้าผลตอบแทนอยู่ที่ 5% และในปี 2569 คาดผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นเป็น 6% อย่างไรก็ตามการเติบโตในอัตราที่ต่ำ นั่นอาจทำให้ในอนาคตรายจ่ายและรายรับของกองทุนประกันสังคมอาจรับเข้า 100 และจ่ายออกไป 100 ไม่มีกำไรสะสมเข้ามา และอาจต้องดึงเงินกำไรสะสมในอดีตออกมาใช้จนหมด ดังนั้นสถานการณ์ของกองทุนประกันสังคมในปัจจุบันจึงน่ากังวลอยู่ไม่น้อย


กำลังโหลดความคิดเห็น