รายงานเผยบริษัทน้ำมันรัสเซียหันมาใช้บิทคอยน์และ USDT ในการทำธุรกรรมกับจีนและอินเดีย แม้เผชิญมาตรการคว่ำบาตรระดับโลก ขณะที่ทางการรัสเซียส่งสัญญาณเปิดรับคริปโตมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
รายงานจาก Reuters ระบุว่า บริษัทน้ำมันของรัสเซียกำลังใช้สกุลเงินดิจิทัล เช่นบิทคอยน์ และ USDT ของ Tether ในการค้ากับจีนและอินเดีย แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ข้อมูลดังกล่าวมาจากแหล่งข่าวสี่รายที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้โดยตรง
แหล่งข่าวรายหนึ่งเผยว่า บริษัทค้าน้ำมันรัสเซียบางแห่งทำธุรกรรมโดยใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อกำหนดด้านการรักษาความลับของข้อตกลง ทำให้รายละเอียดเชิงลึกของกระบวนการนี้ยังไม่ถูกเปิดเผยมากนัก
แม้ในช่วงปลายปี 2567 กระทรวงการคลังรัสเซียจะออกมายืนยันว่ารัฐบาลไม่มีข้อจำกัดในการใช้บิทคอยน์สำหรับการค้าระหว่างประเทศ แต่การนำคริปโตมาใช้ในการค้าขายน้ำมันกับจีนและอินเดียยังไม่เคยมีรายงานมาก่อนจนกระทั่งขณะนี้
กลไกการค้าขายน้ำมันผ่านคริปโต
ตามรายงานของ Reuters การซื้อขายน้ำมันของรัสเซียผ่านสกุลเงินดิจิทัลอาศัยตัวกลางที่มีบัญชีในต่างประเทศเป็นจุดเชื่อมโยง โดยกระบวนการทำธุรกรรมมักเริ่มจากการที่ผู้ซื้อชาวจีนจ่ายเงินเป็นเงินหยวนให้กับบริษัทตัวกลางในบัญชีธนาคารนอกประเทศ จากนั้นตัวกลางจะแปลงเงินดังกล่าวเป็นบิทคอยน์ หรือ USDT ก่อนส่งต่อไปยังบัญชีในรัสเซีย และสุดท้ายแปลงกลับเป็นเงินรูเบิลเพื่อใช้ในประเทศ
แหล่งข่าวระบุว่า กลไกนี้ช่วยให้รัสเซียสามารถดำเนินการซื้อขายได้รวดเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตรทางการเงิน
คริปโตกับการค้าระหว่างประเทศของรัสเซีย
แหล่งข่าวจาก Reuters คาดการณ์ว่า รัสเซียน่าจะยังคงใช้คริปโตในการทำธุรกิจค้าขายน้ำมันต่อไป ไม่ว่าจะมีมาตรการคว่ำบาตรหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สะดวกและช่วยให้ดำเนินธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว
ข่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ธนาคารกลางรัสเซียกำลังเสนอให้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลถูกกฎหมายสำหรับบุคคลที่มีมูลค่าสุทธิสูง (HNWIs) ที่มีทรัพย์สินและเงินฝากไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังเปิดรับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น
จีนยังคงจำกัดบิทคอยน์แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลง
แม้ว่ารัสเซียจะหันมาใช้บิทคอยน์และ USDT ในการค้าระหว่างประเทศ แต่จีนแผ่นดินใหญ่ยังคงใช้มาตรการเข้มงวดกับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะหลังจากออกกฎหมายห้ามทำธุรกรรมคริปโตเกือบทั้งหมดในปี 2564
อย่างไรก็ตาม เขตเศรษฐกิจพิเศษของจีนอย่างฮ่องกงกลับเปิดกว้างมากขึ้นและกลายเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลก
แม้จะมีข้อจำกัดอย่างเป็นทางการ แต่จีนยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านการขุด บิทคอยน์ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการคริปโตของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กำลังพิจารณาแนวทางสำรองบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนคาดการณ์ว่าจีนอาจไม่สามารถเพิกเฉยต่อบทบาทที่เพิ่มขึ้นของบิทคอยน์ในระบบการเงินโลกได้
จากข้อมูลของบริษัทเทคโนโลยีบิทคอยน์ "Jan3" คาดว่ารัฐบาลจีนอาจถือครองบิทคอยน์ ไม่น้อยกว่า 193,000 BTC ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจีนอาจมีแผนรับมือกับแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้