xs
xsm
sm
md
lg

เปิดปันผลกลุ่มแบงก์ปี 67 -เอสซีบีเอกซ์จ่ายหนักสุด10.44บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลังจากผ่านพ้นช่วงการประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประจำปี 2567 ส่วนที่ต้องติดตามในช่วงถัดมาเป็นเรื่องของการจ่ายเงินปันผลซึ่งก็ได้มีการทยอยประกาศออกมาจนครบทั้ง 11 แห่งดังนี้

นำโดยบริษัทเอสซีบี เอกซ์(SCB)นางศิริบรรจง อุทโยภาศ เลขานุการ บริษัท บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)(SCB) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดําเนินงานปี 67 ให้แก่ ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 10.44 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 35,153 ล้านบาท โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ก.ย.67 ในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท ดังนั้นบริษัทจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนี้คืองวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 67 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 67 อีกหุ้นละ 8.44 บาท ซึ่งการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล โดยจะขึ้นเครื่องหมายวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD)วันที่ 16 เม.ย. 68 และมีกําหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 2 พ.ค. 68

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK)แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กรณีที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร อนุมัติการจัดสรรกำไรจากผลการดำเนินงานปี 67 จ่ายเงินผลปันผลในอัตราหุ้นละ 9.50 บาท เป็นเงิน 3,553,991,389.50 บาท โดยธนาคารจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท เป็นเงิน 3,553,991,389.50 บาท จึงจะจ่ายปันผลงวดสุดท้ายอีกอัตราหุ้นละ 8 บาท เป็นเงิน 18,954,620,744.00 บาท โดยกำหนดวันที่ผู้ถือหุ้นไม่ได้สิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 17 เมษายน 2568 กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 และกำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 เมษายน 2538

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(BBL)โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2567 สำหรับหุ้นสามัญ ในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,225,164,599 บาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินปันผลต่อกำไรสุทธิร้อยละ 37.69 โดยเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสะสม ซึ่งธนาคารได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายอีกในอัตราหุ้นละ 6.50 บาท ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2568

กลุ่มธุรกิจการเงินทิสโก้(TISCO)ประกาศจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 7.75 บาท ซึ่งในจำนวนนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 2.00 บาท แล้วในวันที่ 27 กันยายน 2567 เป็นจำนวนเงิน 1,600,842,866 บาท และเสนอจ่ายปันผลส่วนที่เหลือในอัตราหุ้นละ 5.75 บาทเป็นจำนวนเงินประมาณ 4,603,769,027 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้นจำนวน 6,204,611,893 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ในวันที่ 28 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร แจ้งคณะกรรมการธนาคารเห็นสมควรเสนอขอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 4.00 บาท รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 3,334,672,295 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 76.43 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 66.29 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมประจำปี 2567 โดยธนาคารได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,058,385,975 บาท เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 และธนาคารจะจ่ายเงินปันผลคงเหลือในงวดนี้ในอัตราหุ้นละ 2.75 บาทให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลปี 67 ให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ ในอัตราหุ้นละ 1.6996 บาท และผู้ถือหุ้นสามัญอัตราหุ้นละ 1.545 บาทเป็นเงิน 21,593.01 ล้านบาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่16 เมษายน 2568 กำหนดจ่ายวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 และกำหนดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 เมษายน 2568

ธนาคารไทยเครดิต(CREDIT)ประกาศจ่ายเงินปันผลระจำปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท จำนวนหุ้นสามัญ 1,234,839,222 หุ้น รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 740,903,533.20 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY)แจ้งคณะกรรมการธนาคารอนุมัติการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำนวน 7,355,761,773 หุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงิน 2,942,304,709.20 บาท และเงินปันผลสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
จำนวน 7,355,761,773 หุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท รวมเป็นเงิน 3,310,092,797.85 บาท โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 07 พ.ค. 2568 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 06 พ.ค. 2568 กำหนดวันที่จ่ายปันผล 22 พ.ค. 2568
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารมีมติให้ธนาคารขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น (AGM) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 เมษายน 2568 ในอัตรา 60% ของกำไรสุทธิในปี 2567 และขออนุมัติวงเงินในการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 2 จำนวน 6,312 ล้านบาท โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) ในวันที่ 25 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 โดยทีทีบีได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.065 บาทต่อหุ้น เมื่อเดือนตุลาคม 2567 และเตรียมขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 2 ภายใต้วงเงิน 6,312 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราเงินปันผลต่อหุ้นในเบื้องต้นที่ 0.064 - 0.067 บาท รวมเป็นอัตราเงินปันผลของทั้งปี 2567 ที่ประมาณ 0.13 บาท เพิ่มขึ้นราว 24% จากอัตรา 0.105 บาท ในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ธนาคารจะแจ้งอัตราเงินปันผลต่อหุ้นที่แน่นอนอีกครั้งในวันที่ 4 เมษายน 2568 ภายหลังจากที่ทราบผลการซื้อหุ้นคืนและผลการใช้สิทธิ TTB-W1

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลทั้ง 2 ครั้งเทียบเท่ากับอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 60% จากกำไรสุทธิในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 55% ในปีก่อนหน้า และคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield ที่ประมาณ 7% ต่อปี เมื่อเทียบกับราคาหุ้น TTB ณ สิ้นปี 2567 ที่ 1.86 บาท

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย(CIMBT)แจ้งจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD)ในวันที่ 28 เมษายน 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

กลุ่มธุรกิจการเงินแอลเอชไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป (LHFG) แจ้งจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.030 บาทต่อหุ้น เป็นเงินจำนวน 635,509,817.82 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 29 เมษายน 2568 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

**กำไรแบงก์ปี67จำนวน2.52แสนล.**
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานธนาคารพาณิชย์รวม 11 แห่งประจำปี 2567 มีกำไรสุทธิรวม 252,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่มีผลกำไรสูงสุดได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)มีกำไรสุทธิ 48,598 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.60%เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามด้วย ธนาคารกรุงเทพ(BBL)มีกำไรสุทธิ 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.59%เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทเอสซีบีเอกซ์(SCB)มีกำไรสุทธิ 43,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.97%เมื่อเทียบกับปีก่อน ธนาคารกรุงไทย(KTB)มีกำไรสุทธิ 43,855 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.77%เมื่อเทียบกับปีก่อน ธนาคารทหารไทยธนชาติ(TTB)มีกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.94% เมื่อเทียบกับปีก่อน ธนาคารไทยเครดิต(CREDIT)มีกำไรสุทธิ 3,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.91%เมื่อเทียบกับปีก่อน และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย(CIMBT)มีกำไรสุทธิ 2,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.69%เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่มีผลกำไรลดลง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)มีกำไรสุทธิ 29,700 ล้านบาท ลดลง 9.81%เมื่อเทียบกับปีก่อน ,ธนาคารทิสโก้(TISCO)มีกำไรสุทธิ 6,901 ล้านบาท ลดลง 5.48%เมื่อเทียบกับปีก่อน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(KKP)มีกำไรสุทธิ 4,985 ล้านบาท ลดลง 8.41%เมื่อเทียบกับปีก่อน และบริษัทแอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป(LHFG) มีกำไรสุทธิ 2,048 ล้านบาท ลดลง 2.39%เมื่อเทียบกับปีก่อน

ทั้งนี้ ในด้านของคุณภาพหนี้แล้ว อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม(NPL)ค่อนข้างทรงตัวหรือปรับขึ้นเพิ่ม-ลดเพียงเล็กน้อย จากการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงยังคงมีการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมเพื่อรองรับความไม่แน่นอน-ผันผวนในอนาคต และในปี 2568 ก็ยังคงใช้แนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังต่อเนื่อง

ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)สรุปภาพรวมผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ปี 2567 สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2567 หดตัว -0.4% ถือเป็นการติดลบสูงสุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 และเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากปี 2566 ที่สินเชื่อหดตัว -0.3%โดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัว 0.5% มาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่ขยายตัว 2% หากรวมสินเชื่อภาครัฐจะขยายตัว 3.4% ซึ่งมาจากธุรกิจหันมาขอสินเชื่อผ่านธนาคารมากขึ้น สะท้อนจากการระดมทุนผ่านตลาดติดลบ -2.5% ติดต่อกัน 3 ไตรมาส ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) หดตัว -5.0% จากเดิม -5.7% และสินเชื่อรายย่อยหดตัวทุกประเภทสินเชื่ออยู่ที่ -1.9% โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อที่หดตัว -9.9% ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ จากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)ที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าธปท.จะเห็นสัญญาณการยึดรถเข้าลานประมูลน้อยลง ทำให้ราคารถมือสองกลับมาปรับดีขึ้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่ธปท.ต้องจับตาดูอยู่

สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในปี 2567 ปรับลดลงทั้งปริมาณและสัดส่วน มีปริมาณหนี้เสียอยู่ที่ 5.50 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.78% ลดลงจากไตรมาสที่ 3/2567 ที่อยู่ 5.3 แสนล้านบาท หรืออยู่ที่ 2.97% คิดเป็นหนี้เสียปรับลดลงราว 2 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการปรับลดลงในรอบหลายไตรมาส ยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่เอ็นพีแอลปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.82% เป็น 3.88% อย่างไรก็ดี คาดว่า “มาตรการคุณสู้ เราช่วย” จะทำให้หนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับดีขึ้นในรอบไตรมาสถัดไป

นำโดยเอ็นพีแอลสินเชื่อธุรกิจปรับลดลงจาก 3.24% ในไตรมาสที่ 3/2567 มาอยู่ที่ 3.20% ในไตรมาสที่ 4/2567 สินเชื่อเอสเอ็มอีปรับลดลงจาก 7.01% มาอยู่ที่ 6.92% ธุรกิจรายใหญ่ลดลงจาก 1.18% มาอยู่ที่ 1.00% และสินเชื่อธุรกิจรายย่อยจาก 3.24% มาอยู่ที่ 3.20% โดยเช่าซื้อลดลงจาก 2.34% อยู่ที่ 2.17% และบัตรเครดิตปรับลดลงจาก 3.65% เหลือ 3.12% เป็นผลมาจากการคงมาตรการชำระขั้นต่ำ

ทั้งนี้ การปรับลดลงของหนี้เอ็นพีแอลส่วนใหญ่ จะมาจากการปลดการจัดชั้นหนี้เสียของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเอสเอ็มอี และรายย่อย ที่เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านมาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบที่ลูกค้าสามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข และถูกขยับชั้นจาก Stage 3 เป็นสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Stage 2) เพิ่มขึ้นมาอยู่ 6.98% โดยปัจจุบันตัวเลขปรับโครงสร้างหนี้สะสมอยู่ที่ 7.18 ล้านบัญชี และคิดเป็นมูลหนี้อยู่ที่ 2.66 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ผลการดำเนินงาน ปี 2567 ปรับดีขึ้นจากปีก่อน แต่ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจในกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันปรับลดลง ตลอดจนติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย
กำลังโหลดความคิดเห็น