มาตรการรัฐให้โยก LTF ลงกอง ESG หนุนตลาดแค่วันเดียว แต่วานนี้ (12 ก.พ.) SET Index ร่วงแรงอีกเกือบ 30 จุด ด้าน CGSI เผยยังมี LTF ที่ไม่ได้ย้ายไปกองทุน ESG เหลืออีก 9 หมื่นล้านบาท สามารถขายคืนได้ตลอดเวลา สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้ต่อ ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ยังคงกระทบ sentiment ตลาด ดังนั้นยังคงเป้าดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,380 จุด เท่ากับ P/E 14 เท่า แนะนำลงทุนหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง หุ้นกลุ่มปลอดภัย ด้าน SET Index ร่วงหนักกว่า 27 จุด ปิดที่ 1,160.06 จุด หลังเพิ่งบวกแค่วันเดียว
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยว่า การประกาศให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ย้ายการลงทุนใน LTF มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน แบบพิเศษที่จัดตั้งขึ้นใหม่คือ “TESGX” เมื่อวันที่ 11 มี.ค.68 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนี้ได้ 300,000 บาท ส่วนอีก 200,000 บาทจะใช้สิทธิลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาท เป็นเวลา 4 ปีนั้น น่าจะมีเงินลงทุนใน LTF เพียงครึ่งเดียวที่จะย้ายมาลงทุนใน TESGX ใหม่ ส่วนเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนใน TESGX น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ เชื่อว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี/กองทุน อาจเป็นความพยายามของรัฐที่จะชดเชยประเด็นความล่าช้าในการแจกเงินให้คนไทยที่มีอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคนภายใต้โครงการดิจิทัล วอลเล็ตเฟส 3 ซึ่งรัฐบาลวางแผนจะแจกเงินในช่วงไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 นี้ ขณะที่การแจกเงินเฟส 4 ให้คนไทยที่มีอายุ ระหว่าง 21-60 ปียังไม่แน่นอน
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยังกระทบต่อ sentiment ของตลาด อีกทั้งกองทุน LTF ที่ไม่ได้ย้ายไป TESGX ซึ่งน่าจะเหลืออีกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท สามารถขายคืนได้ตลอดเวลา จึงยังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย
ยังคงเป้า SET สิ้นปีที่ 1,380 จุด P/E 14 เท่า
นอกจากนี้ ประเมินว่าแม้สิทธิประโยชน์ทางภาษีล่าสุดที่รัฐบาลเพิ่งประกาศออกมาน่าจะช่วยให้ sentiment ของตลาดดีขึ้น แต่ยังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,380 จุด เท่ากับ P/E 14 เท่า ในปี 69 หรือ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี เพื่อสะท้อนปัจจัยลบทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นจึงยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและหุ้นในกลุ่มปลอดภัย
อีกทั้งมองว่าหุ้นที่มีราคาร่วงลงแรงก่อนหน้านี้ น่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อ sentiment ตลาดกลับมาฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดทางการเมืองและการที่สหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยยังเป็น downside risk
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหน่วยลงทุนจะต้องแจ้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนและโอนหน่วยลงทุน LTF ที่เหลือไปยังกองทุน TESGX ใหม่ ภายในเดือน มิ.ย.68 นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทแก่นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน TESGX ช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.68 และถือจนครบ 5 ปี
กระทรวงการคลังประเมินว่า น่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน LTF 1.8 แสนล้านบาท หรือ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 75% ย้ายเข้ามาลงทุนใน TESGX และคาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุนอีกราว 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับกระทรวงการคลังคาดว่าจะมีเงินลงทุนในกองทุน TESGX ราว 1.65 แสนล้านบาท ขณะที่กองทุน TESGX จะต้องลงทุนอย่างน้อย 65% ในหุ้นที่ปฏิบัติตามหลักการ ESG อย่างเคร่งครัดและมากกว่า 80% ในสินทรัพย์ที่กองทุนสามารถลงทุนได้ คล้ายกันกับ TESG ส่วนที่เหลืออีก 20% จะลงทุนในโทเคนดิจิทัลเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม/เพื่อความยั่งยืน
ด้าน ASPS เปิดโผ 17 หุ้นรับประโยชน์
บล.เอเซีย พลัส (ASPS) เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า ได้ทำการค้นหุ้นที่จะได้รับเม็ดเงินหนุนเพิ่มเติม จากกองทุน THAIESG X โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1.แนะนำ 12 หุ้นเด่น เตรียมรับเม็ดเงินโยก LTF และเม็ดเงิน THAIESG X ใหม่ หนุนมากสุด PTTEP, CPALL, SCB, KBANK, BDMS, KTB, BBL, CPN, CRC, TTB, CPF, SCC เนื่องจากหุ้นทั้งหมดใน SET มี 701 ตัว แต่ใน SETESG มี 122 ตัว ทำให้หุ้นที่มี ESG RATING มีโอกาสได้เม็ดเงินไหลเข้าเด่นในช่วงของการโยกย้ายกองทุน LTF และช่วงที่เม็ดเงิน THAIESG X ใหม่ไหลเข้ามาเพิ่มเติม
2.แนะนำ 7 หุ้นเด่น ได้แรงหนุนจากการ REBALANCE หากกองทุนต้องการเพิ่มน้ำหนัก THAIESG X ราย SECTOR อย่าง KCE, HANA, BDMS, BCH, JMART, CENTEL, MTC โดยหุ้นดังกล่าวได้ประโยชน์จาการที่ หุ้นใน SECTOR เดียวกันมีหลายบริษัทที่ยังไม่มี ESG RATING ทำให้มีโอกาสได้เม็ดเงินเพิ่ม หากผู้จัดการกองทุนต้องการเพิ่มน้ำหนัก ใน SECTOR นั้นๆ
SET ร่วงหนักเกือบ 30 จุด ลดลงแล้ว 240 จุด ตั้งแต่ต้นปี
ด้านความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น วานนี้ (12 ก.พ.) ตลาดหุ้นทำจัดต่ำสุดอีกครั้งในรอบเกือบ 5 ปี โดยระหว่างวันลดลงไปต่ำสุดที่ 1,158.17 จุด หรือ 29.46 จุด ก่อนรีบาวนด์ขึ้นมาปิดที่ 1,160.06 จุด ลดลง 27.57 จุด หรือ 2.32% หากนับตั้งแต่ต้นปี SET Index ลดลงไปแล้ว 240 จุด