แม้จะมาช้า แต่ยังดีกว่าไม่มา สำหรับการอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนกองใหม่ หรือ THAI ESG EXTRA ซึ่งมีผลกระตุ้นตลาดหุ้นในทันที จากดัชนีที่แดงฉานในช่วงเช้า เปลี่ยนเป็นเขียวขจีในช่วงบ่าย หลังนักลงทุนรับรู้ข่าวดีชิ้นใหญ่
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจัดตั้ง THAI ESG EXTRA ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา โดยรับโอนกองทุนระยะยาวหรือ LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยให้สิทธินักลงทุนที่โอน LTF เป็น TESG สามารถลดหย่อนภาษีได้ 5 แสนบาท โดยปีแรกหรือปี 2568 ลดหย่อนภาษีได้ 3 แสนบาท และปีต่อไป ปีละ 50,000 บาท
ส่วนผู้ที่จะลงทุนใน TESG ใหม่ จะได้ลดหย่อนภาษี 3 แสนบาท แต่จะต้องซื้อหน่วยลงทุนภายในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนนี้เท่านั้น
ภาวการณ์ซื้อขายหุ้นกลับสู่ความซบเซาอีกครั้ง ดัชนีถอยหลังลงมาต่ำกว่า 1,200 จุด เพราะแม้กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่นจะประกาศมาตรการหรือแนวทางกระตุ้นตลาดหุ้น เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา
แต่มาตรการกอบกู้ตลาดหุ้นเป็นไปอย่างล่าช้า และไม่มีมาตรการใดถูกผลักดันให้มีผลบังคับใช้ แรงขายจาก LTF จึงไหลออกมาไม่หยุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไม่เลิก ท่ามกลางแรงซื้อที่อ่อนล้าของนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ซึ่งเป็นผู้ซื้อหลักมาตลอดหลายปี
การซื้อขายหุ้นในช่วงเช้าวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความเงียบเหงาซบเซา ดัชนีถอยรูดลงไปประมาณ 17 จุด ต่ำสุดที่ระดับ 1,150 จุด หมิ่นเหม่ที่จะหลุดระดับ 1,150 จุด
แต่ทันทีที่เปิดการซื้อขายภาคบ่าย มีแรงซื้อไหลทะลักเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีดีดตัวกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,187.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.19 จุดอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับการซื้อขายภาคเช้าที่หุ้นทรุดหนัก
การแปลง LTF เป็น TESG ซึ่งเลื่อนจากการพิจารณาของ ครม.เมื่อสัปดาห์ก่อน คือแรงกระตุ้นสำคัญที่พลิกฟื้นตลาดหุ้น จากที่กำลังวิกฤต และลังสร้างจุดต่ำสุดใหม่ ได้ทะยานขึ้นขานรับการคลอด TESG ในทันที
นักลงทุนที่กำลังสิ้นหวังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะตลาดหุ้นกำลังถูกปลุกให้ตื่น และเริ่มกลับตัวขึ้น อย่างน้อยในระยะสั้นได้พ้นจากความเลวร้ายสุดขีดชั่วคราว
การจัดตั้งกองทุน TESG ใหม่ เป็นการตัดตอนแรงขายจาก LTF ซึ่งเห็นผลทันตา เพราะแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน โดยส่วนใหญ่เป็นการขายของ LTF หยุดลงทันที และกลับมาเป็นแรงซื้อในวันที่ 11 มีนาคม
เมื่อหยุดแรงขายของ LTF ซึ่งเป็นแรงกดดันส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นดิ่งรูดลงกว่า 200 จุด นับจากต้นปี โอกาสที่ดัชนีจะยืนตั้งหลักขึ้นมาใหม่ย่อมมีความเป็นไปได้
เพราะนักลงทุนรายย่อยในประเทศคงไม่ทุบขายหุ้นออกมา เนื่องจากแบกรับผลขาดทุนไม่ได้ พอร์ตโบรกเกอร์ก็ไม่ใช่ตัวการทุบหุ้น LTF และนักลงทุนสถาบันก็คงไม่เทขายหุ้นเหมือนกัน
จึงเหลือแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่มองโลกในแง่ดี ตั้งแต่ปี 2566 ต่างชาติขายหุ้นออกมาแล้วเกือบ 4 แสนล้านบาท
ถ้าเศรษฐกิจ การเมือง และตลาดหุ้นไทยไม่เลวร้ายเกินไป แรงขายของต่างชาติน่าชะลอลง หุ้นก็อาจไม่ทรุดหนักต่อไปอีก
หรือถ้าต่างชาติยังเทขายหุ้นไม่เลิก นักลงทุนในประเทศอาจต้องร่วมมือกันกดราคา เพื่อซื้อหุ้นราคาต่ำๆ โดยไม่รีบร้อนเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่ต่างชาติขาย
การแปลง LTF เป็น TESG ในการกระตุ้นตลาดหุ้น เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ได้ผล และช่วยเหลือนักลงทุนในตลาดหุ้นที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง
แต่มาตรการหรือแนวทางการกอบกู้วิกฤตตลาดหุ้นยังมีอีกมากมาย ทั้งกระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอ ทั้งตลาดหลักทรัพย์นำเสนอ และองค์กรอื่นร่วมเสนอ โดยมีเป้าหมายเดียวกัน
ปลุกตลาดหุ้นให้ฟื้น เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาให้ได้
รัฐบาล น ส.แพทองธาร ชินวัตร ประเมินผลได้แล้วว่า มาตรการ LTF สามารถกระตุ้นตลาดหุ้นให้คึกคักได้เพียงไร ดังนั้นจึงควรเดินหน้าต่อ เร่งผลักดันมาตรการอื่นๆ ตามมาโดยเร่งด่วน
เพราะการตั้งกองทุน TESG ใหม่ เป็นเพียงการระงับยับยั้งวิกฤตในระยะสั้นเท่านั้น ไม่ใช่การพลิกฟื้นตลาดหุ้นไปสู่การฟื้นตัวในระยะยาว
ภารกิจในการพลิกชะตาชีวิตนักลงทุนกว่า 3 ล้านคนในตลาดหุ้นของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ยังไม่จบที่การตั้งกองทุน TESG เท่านั้น