ช่วงระยะนี้มีการเสนอมาตรการหรือแนวทางในการกระตุ้นตลาดหุ้น ฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุนกันมากมาย และเป็นข้อเสนอที่ดี ซึ่งอาจปลุกบรรยากาศการลงทุนให้กลับสู่ความคึกคักได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ
มาตรการหรือแนวทางกระตุ้นตลาดหุ้นทั้งหมดยังไม่ถูกผลักดันให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างรวดเร็วฉับไวแม้แต่มาตรการเดียว แม้แต่มาตรการที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ผลักดันก็ตาม
ล่าสุด น.ส.ชวินตา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ได้เสนอแนวทางการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดในตลาดหุ้น การ ขยายความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาเบาะแสการกระทำผิดภายในเวลารวดเร็ว
และการกลับมาจัดการประชุมผู้ถือหุ้นในรูปแบบเดิม จากที่เปลี่ยนการประชุมผู้ถือหุ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้นักลงทุนไม่อาจสอบถามปัญหาหรือข้อมูลจากฝ่ายบริหารบริษัทจดทะเยียนได้มากนัก
การประชุมผ่านอิเล็กทรอนิกส์ เกิดขึ้นในข่วงวิกฤตโควิด ซึ่งผ่านพ้นมา 5 ปี โดยวิกฤตโควิดผ่านพ้นไปแล้ว แต่บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังจัดประชุมผู้ถือหุ้นในรูปแบบอิเล็กทรอนิคส์อยู่ ทำให้นักลงทุนไม่อาจเข้าถึงผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ไม่อาจซักถามข้อมูลหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทได้มากนัก
ทั้งที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งเสริมสนับสนุนและรณรงค์ให้นักลงทุนต้องเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อเข้าถึงผู้บิหารบริษัทจดทะเบียน และซักถามข้อสงสัยหรือข้อมูลในเชิงลึกได้มากขึ้น
นายกสมาคม บลจ.ยังเสนอปราบแก๊งโกงในบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าการแต่งบัญชีหลอกลวงเหมือนกรณี บริษัท สตาร์คคอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK การปั่นหุ้น การใช้ข้อมูลภายในหรืออินไซเดอร์เอาเปรียบนักลงทุน
และการฉ้อโกงทรัพย์สินบริษัทจดทะเบียน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะต้องเพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น
การขึ้นบัญชีดำ ห้ามเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ห้ามซื้อขายหุ้น หรือห้ามเป็นผู้ให้คำแนะนำการลงทุน สำหรับผู้กระทำความผิดในตลาดหุ้น ซึ่งมีข้อกำหนดบทลงโทษสูงสุดไม่เกิน 10 ปี ควรขยายเวลาให้ยาวนานขึ้น และบทลงโทษทางแพ่ง ควรเพิ่มค่าปรับการกระทำผิดให้สูงขึ้น รวมทั้งสร้างพลังต่อต้านทางสังคม
ไม่ให้แก๊งมิจฉาชีพ กลุ่มอาชญากร และโจรใส่สูทในคราบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ปล้นเงินประชาชนในตลาดหุ้นมีที่ยืนในสังคม
เพราะคนโกงในตลาดหุ้นมักไม่กลัวบทลงโทษที่มีอยู่ โดยเฉพาะการลงโทษปรับความผิดอินไซเดอร์และปั่นหุ้น ซึ่งควรจะร้องทุกข์กล่าวโทษทางอาญาทั้งหมด
นอกจากนั้น การดำเนินคดีผู้กระทำความผิด จะต้องรวดเร็วขึ้น ทั้งการตรวจสอบข้อมูล การดำเนินคดี ซึ่งปัจจุบันมีความล่าช้า แต่ละคดีใช้เวลา 5-10 ปี ซึ่งล่าช้าเกินไป
ข้อเสนอสำคัญอีกประการคือ การแบ่งปันข้อมูลประวัติบุคคลเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน และเป็นการกลั่นกรองคนโกงไม่ให้หลุดเข้ามาปล้นเงินในตลาดหุ้นเหมือนตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา
ถ้าเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ ตลาดหุ้นจะมีโอกาสฟื้นตัว โดยนักลงทุนไทยไม่ต้องขนเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเหมือนที่เกิดขึ้นอยู่
ข้อเสนอในการกอบกูวิกฤตตลาดหุ้นที่ทรุดหนักย่างเข้าสู่ปีที่ 3 พรั่งพรูออกมาทั่วสารทิศ และข้อเสนอแต่ละหน่วยงานหรือแต่ละองค์กรล้วนเป็นข้อเสนอที่ดี และนักลงทุนในตลาดหุ้นให้การตอบรับ
แต่ดัชนีหุ้นกลับไม่ตอบรับ และกำลังปักหัวลงดิ่งสู่ระดับ 1,100 จุด เพราะทุกแนวทางและทุกมาตรการที่นำเสนอไม่ถูกนำไปสู่การบังคับใช้ในทางปฏิบัติเสียที
ไม่ว่าการแปลงกองทุนหุ้นระยะยาวหรือ LTF เป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนหรือ TESG เพื่อลดแรงขายหุ้นของ LTF ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญกดดันให้หุ้นตกมานับจากต้นปี
การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนตลาดหุ้น ซึ่งนำเสนอโดยนายพิชัย
ข้อเสนอการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับนักลงทุนที่ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว การให้ประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทจดทะเบียนที่ร่วมโครงการจัดทำแผนธุรกิจกับตลาดหลักทรัพย์
การปลดเปลื้องข้อจำกัดการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเสนอโดยนายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์
และข้อเสนอล่าสุด การเพิ่มโทษผู้กระทำผิดในตลาดหุ้นให้หนักขึ้น การตรวจสอบประวัติบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเสนอโดยนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
แต่ไม่มีข้อเสนอการฟื้นฟูตลาดหุ้นใดที่มีความคืบหน้า และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งไม่มีใครอธิบายได้ว่า มาตรการเร่งด่วนเพื่อกู้วิกฤตการสิ้นศรัทธาของนักลงทุนทั้งไทยและเทศ ทำไมจึงอืดอาดล่าช้า และติดขัดอะไรอยู่ตรงไหน
แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ไม่เคยปริปากอธิบายถึงการอืดอาดเป็นเรือเกลือของมาตรการปลุกตลาดหุ้น
อย่าแปลกใจไปเลยว่า ทำไมหุ้นจึงมุ่งแต่จะมุดหัวดิ่งลงเหว ในเมื่อรัฐบาลไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกู้วิกฤตตลาดหุ้น
นายกฯ อุ๊งอิ๊ง จะรอให้ตลาดหุ้นพังพินาศ รอให้นักลงทุนกว่า 3 ล้านคนตายกันหมดใช่หรือไม่ ช่วยตอบที