ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ฟื้นคืนชีพสู่ความคึกคักอีกครั้ง แม้ปิดการซื้อขายหุ้นในภาคเข้า ดัชนีทำท่าจะไปไม่รอด แต่เปิดการซื้อขายในภาคบ่ายมีแรงซื้อไหลทะลักเข้ามา ผลักดันให้ดัชนีพุ่งทะยานไปปิดที่ 1,202.03 จุด เพิ่มขึ้น 12.48 จุด ปลุกกำลังใจให้นักลงทุนกลับมามีความหวังอีกครั้ง
การฟื้นตัวของตลาดหุ้น เกิดขึ้นพร้อมกับการแถลงข่าวของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการทบทวนมาตรการกำกับดูแล SHORT SELL หรือการยืมหุ้นมาขาย และการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านโปรแกรมที่มีความถี่สูง หรือ HIGH FREQUENCY TRADING (HFT)
และการแถลงข่าวของนายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเตรียมเสนอแก้กฎหมายหลายฉบับในครั้งเดียว เพื่อเร่งสนับสนุนโครงการฟื้นความเชื่อมั่นและสร้างความน่าสนใจของตลาดหุ้นให้เกิดขึ้นได้เร็ว ประกอบด้วย โครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน โครงการ Jump+ และการดึงดูดบริษัทในอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาจดทะเบียน โดยจะเห็นความชัดเจนได้ใน 3-6 เดือน
นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดออกโครงการส่งเสริมการออมระยะยาว โดยให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี เพื่อจูงใจให้ประชาชนเก็บออมเงินเพื่อการเกษียณผ่านการซื้อหุ้น เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยฟื้นตลาดหุ้นได้
ส่วนโครงการ Jump+ จะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยจูงใจด้วยการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกำไรที่ทำเพิ่มขึ้น และจะสนับสนุนโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock โดยจะเสนอแก้ข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อยกเลิกข้อจำกัดให้บริษัทจดทะเบียนสามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้น
และยกเลิกเพดานการซื้อหุ้นคืนจากเดิม 10% หรือสามารถทำโครงการใหม่ได้ต่อเนื่อง จากเดิมต้องรอ 6 เดือนหลังจากการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืนก่อนหน้า
มาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นโดยการแก้กฎหมาย เพื่อสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในการดำเนินงานโครงการต่างๆ ตามที่ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แถลงนั้น ถือเป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แต่การยกเลิกมาตรการ UPTICK RULE หรือมาตรการป้องกันการปั่นราคาหุ้นและลดความผันผวนของตลาด โดยกำหนดให้ขายชอร์ตในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย และคำสั่ง HFT ซึ่งเดิมกำหนดให้ซื้อขายหุ้นใน SET100 แต่จะขยายผลถึงหุ้นที่มีมาร์เกตแคปหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกิน 7,500 บาท ไม่อาจประเมินได้ว่า จะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในระยะยาวหรือไม่
มาตรการ UPTICK RULE การกำกับดูแลที่เข้มข้นการซื้อขายด้วยโปรแกรมเทรด หรือ ROBOT TRADE และคำสั่งซื้อขายที่มีความเร็วสูง HFT ตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 หลังจากมีข้อเรียกร้องจากนักลงทุนขอให้ยกเลิก SHORT SEL และ ROBOT TRADE เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเกาหลีใต้และตลาดหุ้นจีน
เพราะนักลงทุนเชื่อว่า SHORT SELL เป็นต้นตอทำให้หุ้นตก โดยนักลงทุนต่างชาติพากันเล่นหุ้นขาลงโดยการขายชอร์ต และ ROBOT TRADE โดยเฉพาะคำสั่งซื้อขายความเร็วสูง HFT เป็นการเอาเปรียบนักลงทุนในประเทศ ทำให้การส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นไม่เป็นธรรม
การประกาศมาตรการ UPTICK RULE และคุมเข้มคำสั่งซื้อขายผ่าน ROBOT กระตุ้นตลาดหุ้นให้เกิดความคึกคักทันที โดยดัชนีที่หลุดระดับ 1ป300 จุด ดีดตัวขึ้นขานรับ และกลับเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหญ่ จากวันที่ 1 กรกฎาคมถึงกลางเดือนตุลาคม 2567 ดัชนีปรับตัวขึ้นรวมกว่า 200 จุด จากระดับต่ำกว่า 1,300 จุด ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,506 จุด โดยมีกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นกองหนุน
ส่วนยอดธุรกรรม SHORT SELL ลดฮวบทันตาเห็น จากเดิอนมิถุนายน 2567 มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายประมาณ 12% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นทั้งหมด ลดเหลือเพียงประมาณ 4% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นทั้งหมด
หุ้นที่เด้งกลับแรงช่วงบ่ายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พร้อมกับการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ ที่ไล่ซื้อหุ้นคืนกว่า 1,400 ล้านบาท จะเป็นปฏิกิริยาตอบรับแนวทางการยกเลิก UPTICK RULE และลดความคุมเข้มคำสั่ง HFT หรือไม่ คงเร็วเกินไปที่จะสรุป
แต่ส่วนที่พึงระวังคือ ความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างนักลงทุนทั่วไป กับนักลงทุนต่างชาติที่ใช้โปรแกรม HFT
ตลาดหลักทรัพย์เพิ่งเปิดให้โบรกเกอร์ทุกราย สามารถนำเซิร์ฟเวอร์ติดตั้งแต่เชื่อมต่อกับศูนย์กลางส่งคำสั่งซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อลดความเปรียบเสียเปรียบในการส่งคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วกว่า ระหว่างนักลงทุนทั่วไปกับนักลงทุนต่างชาติที่ใช้โปรแกรมเทรด
แต่การปล่อยผี HFT จะทำให้นักลงทุนทั่วไปตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบอีกครั้ง เช่นเดียวกับการเปิดให้ SHORT SELL ได้คล่องตัวขึ้น แม้ช่วยให้มูลค่าซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น
แต่จะช่วยปลุกตลาดหุ้นให้ฟื้นคืนสู่ความคึกคักอย่างยั่งยืนหรือไม่ คงได้แต่ภาวนาให้การตัดสินใจปล่อยผี SHORT SELL และ HFT เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ช่วยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นกลับสู่ขาขึ้นรอบใหญ่
และไม่เกิดปัญหาต่างชาติทุบขายหุ้น ทำกำไรขาลง ส่วนนักลงทุนรายย่อยยังถูกฝรั่งที่ส่งคำสั่ง HFT เล่นเอาเปรียบเหมือนเดิม
