การตอบคำถามนักข่าวของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับความตกต่ำของตลาดหุ้น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังไม่เห็นผลนั้น นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง
และกลายเป็นประเด็นเผ็ดร้อนที่นักลงทุนในตลาดหุ้นนำไปพูดกันด้วยความเดือดดาล
นายเผ่าภูมิตอบคำถามนักข่าวเพียงสั้นๆ ว่า “คนที่ฉลาด จะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจและจะมองเป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาส คือ มองไม่เห็นโอกาสในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มี กับราคาหุ้นที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ”
ตลาดหุ้นทรุดหนักมาจากต้นปี ดัชนีถอยรูดจาก 1,400.21 จุดเมื่อสิ้นปี 2567 ลงมาเหลือเพียง 1,177 จุด เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา เพราะความกังวลในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความกังวลผลกระทบการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และมั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาล น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร
สถานการณ์ตลาดหุ้นตกอยู่ในวิกฤต นักลงทุนรายย่อยในประเทศจำนวนกว่า 3 ล้านคนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้น ไม่มีมาตรการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน
ตลาดหุ้นเหมือนถูกรัฐบาลชุดนี้ทอดทิ้ง และมีแนวโน้มดิ่งลงต่อเนื่อง ซึ่งไม่อาจประเมินได้ว่า ดัชนีหุ้นจะร่วงลงไปถึงจุดใด
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลคิดหามาตรการฟื้นฟูตลาดหุ้นดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีมาตรการปลุกตลาดหุ้นอย่างเป็นรูปธรรมออกมา
บรรยากาศการลงทุนที่เลวร้าย ไม่เกี่ยวข้องใดกับความโง่หรือความฉลาดของนักลงทุนกลุ่มใด แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเชื่อมั่นนักลงทุน เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก เกี่ยวข้องกับผลงานการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลและเสถียรภาพที่สั่นคลอนของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร
หุ้นที่ตกลงมาเหลือ 1,177 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนกองทุนหุ้นระยะยาวหรือ LTF เทขายหุ้นมาตลอดนับจากต้นปี โดยต่างชาติมียอดขายหุ้นสะสมรวม 19,030 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ มียอดขายหุ้นสะสมสุทธิ 7,283 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงขายจาก LTF
และพอร์ตโบรกเกอร์มียอดขายหุ้นสะสมสุทธิ 3,256 ล้านบาท
นักลงทุนทั้ง 3 กลุ่มที่เทขายหุ้นทิ้ง ทำให้ขาดทุนน้อยลง แต่เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ฉลาด ในทัศนะของนายเผ่าภูมิหรือไม่
ส่วนนักลงทุนรายย่อยในประเทศที่ช้อนซื้อหุ้นเก็บสะสมมาจากต้นปี เป็นผู้รับเหมาหุ้นที่นักลงทุน 3 กลุ่มเทขายหมด จนมียอดซื้อสะสมสุทธิ 29,570 ล้านบาท และแบกหุ้นต้นทุนสูงจนขาดทุนหนัก จะถือเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดในทัศนคติของรัฐมนตรีเผ่าภูมิหรือไม่
นายเผ่าภูมิเป็นนักการเมืองที่บุคลิกดี มีภูมิความรู้ มีฐานทางการเงิน เสียดายที่ร่วมในรัฐบาลที่ยังไร้ผลงานอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะผลงานกอบกู้เศรษฐกิจที่ฟุบหนัก และผลงานการปลุกตลาดหุ้นที่ปักหัวดิ่งลงเหว
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนายเผ่าภูมิมองโลกสวย มองตลาดหุ้นที่กำลังวิกฤตหนัก เป็นโอกาสของคนฉลาด นายเผ่าภูมิจึงควรนำร่อง แสดงความเป็นคนฉลาดที่เห็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้น จึงควรนำเงินที่มีอยู่ทั้งหมดลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อยืนยันความเป็นคนฉลาด
และการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดหน้า วันอังคารที่ 11 มีนาคมนี้ นายเผ่าภูมิควรแสดงวิสัยทัศน์ในความฉลาด พูดให้รัฐมนตรีทุกคนเห็นโอกาสในตลาดหุ้น และชักชวนให้ร่วมลงขัน จัดตั้งกองทุนหุ้น "คนฉลาด" ระดมเงินไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นที่กำลังขาดแคลนแรงซื้ออย่างหนักอยู่
ปัจจุบัน ผู้ซื้อรายใหญ่ในตลาดหุ้นคือ นักลงทุนรายย่อย และการทุ่มเงินเข้าไปซื้อหุ้น ไม่ได้เป็นเพราะความเฉียวฉลาด แต่เห็นว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงมาต่ำมาก และไม่น่าจะปักหัวลงเหวลึกต่อไป
นอกจากนั้นยังเชื่อวา รัฐบาล น.ส.แพรทองธาร จะไม่นั่งดูหุ้นตกต่ำจนถึงขั้นวิกฤต โดยจะมีมาตรการกระตุ้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยทันที
น ส.แพทองธารเข้าบริหารประเทศมาครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นแม้แต่มาตรการเดียว นักลงทุนที่ขาดทุนย่อยยับในตลาดหุ้นจึงถูกทอดทิ้ง
คนฉลาดที่เห็นโอกาสในตลาดหุ้นอย่างนายเผ่าภูมิ จะพูดอะไรก็ย่อมได้ เพราะไม่ได้ขนเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ได้ขาดทุนย่อยยับเหมือนนักลงทุนรายย่อย
สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นอยากจะตะโกนถามกลับนายเผ่าภูมิคือ ตอนนี้คนที่เห็นโอกาส และเข้ามาซื้อหุ้นจนขาดทุนป่นปี้
รัฐมนตรีเผ่าภูมิจะมีมาตรการบรรเทาทุกข์นักลงทุนรายย่อยกว่า 3 ล้านชีวิตบ้างหรือไม่ หรือได้แต่คุยเหยงๆ เท่านั้น