คดีล้มละลายของบริษัท FTX กำลังกลายเป็นหนึ่งในคดีล้มละลายที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยค่าใช้จ่ายด้านการล้มละลายพุ่งสูงถึงเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ สร้างความกังวลให้กับวงการกฎหมายและการเงิน เพราะคดีนี้ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงช่องว่างทางการเงินและความล้มเหลวในการกำกับดูแลของบริษัท ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล
ค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว "ทีมกฎหมาย-ที่ปรึกษา" โกยเงินเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์
ตามรายงานของ Bloomberg เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บันทึกของศาลแสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการล้มละลายของ FTX นั้นสูงถึง 948 ล้านดอลลาร์ โดยมีการอนุมัติค่าธรรมเนียมแล้วกว่า 952 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินให้กับบริษัทกฎหมายและที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำ เช่น Sullivan & Cromwell LLP ที่ได้รับเงินมากกว่า 248.6 ล้านดอลลาร์ และ Alvarez & Marsal ที่ได้รับเงินประมาณ 306 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตัวแทนเจ้าหนี้ยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรวมกันเป็นมูลค่าประมาณ 110.3 ล้านดอลลาร์ โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้สูงกว่าคดีล้มละลายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างเห็นได้ชัด เช่น คดีของ Celsius, BlockFi, Genesis และ Voyager Digital ที่มีค่าใช้จ่ายทางกฎหมายรวมกันเพียง 502 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในคดี FTX เท่านั้น
ลูกค้า FTX อาจได้เงินคืนมากกว่า 118%
แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว แต่ลูกค้า FTX ส่วนใหญ่อาจได้รับเงินคืนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก โดยคาดว่าจะสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้สูงถึง 118% ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากในคดีล้มละลายขององค์กรทั่วไป ที่มักจะเห็นเจ้าหนี้ได้รับเงินคืนเพียงเศษเสี้ยวของจำนวนเงินที่ตนควรได้รับเท่านั้น
ความซับซ้อนของคดี เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลขาดระเบียบในการบันทึก
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในคดีนี้สูงเป็นประวัติการณ์คือความซับซ้อนในการติดตามสินทรัพย์ดิจิทัลและเงินสดจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ ที่กระจายอยู่ในเครือข่ายบัญชีที่ไม่เป็นระเบียบ การขาดบันทึกทางการเงินที่เหมาะสมและการควบคุมภายในที่ล้มเหลวของ FTX ทำให้ทีมกฎหมายและที่ปรึกษาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาและรักษาสินทรัพย์เหล่านี้
จอห์น เรย์ ที่ 3 ซีอีโอคนปัจจุบันของ FTX ซึ่งได้รับการแต่งตั้งหลังบริษัทยื่นฟ้องล้มละลาย เคยกล่าวไว้ว่า เขาไม่เคยเห็นบริษัทใดที่ขาดการกำกับดูแลทางการเงินมากเท่านี้มาก่อน ทีมงานของเขายังได้รับเงินมากกว่า 8 ล้านดอลลาร์สำหรับบทบาทในการปรับโครงสร้างบริษัท
(1/3) FTX today announced that it has commenced the initial distributions of recoveries to holders of allowed claims in FTX's Convenience Classes in FTX’s Chapter 11 Plan of Reorganization. Customers should expect to receive funds within 1 to 3 business days.— FTX (@FTX_Official) February 18, 2025
คดีล้มละลาย FTX สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมคริปโต
คดีล้มละลายของ FTX ไม่เพียงแต่เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในแง่ของค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่สูงลิ่ว แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล การขาดกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนและความโปร่งใสในการดำเนินงานของบริษัทคริปโตหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดคดีความที่ยืดเยื้อและมีค่าใช้จ่ายสูง
อย่างไรก็ดีหากกรอบการกำกับดูแลไม่ได้รับการปรับปรุง การล้มละลายของบริษัทสกุลเงินดิจิทัลในอนาคตอาจดำเนินตามรูปแบบเดียวกัน โดยที่ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่สูงเกินไปจะบดบังกระบวนการกู้คืนทรัพย์สิน และทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของกระบวนการเยียวยาทางกฎหมาย
แนวโน้มค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในคดีล้มละลายของอุตฯคริปโตเพิ่มขึ้น
คดี FTX เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่กว้างขึ้นในสหรัฐฯ ที่ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในคดีล้มละลายตามบทที่ 11 เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บันทึกของศาลแสดงให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมเหล่านี้กินส่วนแบ่งของสินทรัพย์ที่กู้คืนได้มากขึ้นเรื่อยๆ สร้างความกังวลว่าเจ้าหนี้จะได้รับประโยชน์จริงหรือไม่ หรือกระบวนการเหล่านี้เป็นเพียงการยืดเวลาการต่อสู้ทางกฎหมายที่มีต้นทุนสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบริษัทที่จัดการกระบวนการล้มละลายมากกว่า
ตัวอย่างคดีล้มละลายที่มีค่าใช้จ่ายสูงอื่นๆ ได้แก่ Lehman Brothers ที่มีค่าธรรมเนียมทางกฎหมายเกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ และการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะของเปอร์โตริโก ที่มีค่าใช้จ่ายเกิน 2 พันล้านดอลลาร์
เกิดคำถามสำคัญ "คดี FTX จะส่งผลต่อกฎระเบียบคริปโตในอนาคตอย่างไร?"
การล้มละลายของ FTX เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หน่วยงานกำกับดูแลอาจใช้กรณีนี้เป็นบทเรียนในการออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันการล่มสลายที่คล้ายคลึงกันในอนาคต และปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน
ในขณะเดียวกัน คดีนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของบริการทางกฎหมายและทางการเงินในกระบวนการล้มละลายขององค์กร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ยังใหม่และมีความซับซ้อนอย่างคริปโต
อย่างไรก็ตามคดีล้มละลายของ FTX ไม่เพียงแต่เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในแง่ของค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่สูงลิ่ว แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาการกำกับดูแลและความโปร่งใสในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ที่อาจต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความยั่งยืนในอนาคต