xs
xsm
sm
md
lg

นักเทรดมือฉมัง!! เผยเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ เริ่มจากศูนย์ สู่พอร์ตลงทุนระดับพันล้านเยน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เทสตะ นักเทรดผู้สร้างตำนวนจากศูนย์สู่พอร์ตการลงทุนกว่าพันล้านเยน ในเวลาเพียง 6 ปี
เทสตะ นักเดย์เทรดผู้มีชื่อเสียงจากบล็อกยอดนิยม "Investment Diary of Testa - Aiming for 3 Billion Yen Profit" ได้สร้างความฮือฮาในวงการด้วยการสร้างพอร์ตโฟลิโอสูงถึง 2 พันล้านเยน จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2005 เขาสั่งสมประสบการณ์และพัฒนาทักษะจนกลายเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้า โดยใช้เวลาเพียง 6 ปีในการก้าวสู่สถานะ "นักลงทุนพันล้าน" และยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย 3 พันล้านเยนในอนาคตอันใกล้นี้

เทสตะ นักลงทุนชื่อดัง ผู้สร้างตำนานในโลกเดย์เทรด จาก ฟรีเตอร์สู่ตำนานนักลงทุนที่สร้างเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง

เทสตะเปิดเผยผ่าน rakuten ว่าจุดเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นฟรีเตอร์ ("ฟรีเตอร์" (Freeter) เป็นคำศัพท์ที่มาจากภาษาญี่ปุ่น (フリーター furītā) ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่าง "ฟรี" (free) กับคำว่า "อาร์ไบเตอร์" (Arbeiter) ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า "คนงาน" หมายถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เลือกทำงานนอกระบบ หรือทำงานพาร์ทไทม์เป็นหลัก แทนที่จะทำงานประจำแบบเต็มเวลา) หลังจากเก็บออมเงินได้จำนวนหนึ่ง เขาเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ และได้พบกับหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น จุดประกายความคิดให้เขาศึกษาโลกของการซื้อขายรายวัน (Day Trade) จากบล็อกของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เขาเห็นความเป็นไปได้ที่จะสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด และตัดสินใจที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้

เดย์เทรด : ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง?

เทสตะกล่าวว่า เสน่ห์ของการเดย์เทรดคือการที่ไม่ต้องถือครองหุ้นข้ามคืน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เขาเริ่มมีกำไรตั้งแต่เดือนที่ 3 ของการเทรด และสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

จาก 10 สู่ 20 และ 30 : ไม่หยุดยั้งที่จะก้าวไปข้างหน้า

เทสตะเคยตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 1 พันล้านเยน และเมื่อทำได้สำเร็จ เขาก็ปรับเป้าหมายเป็น 2 พันล้านเยน และล่าสุดได้ขยับไปที่ 3 พันล้านเยนแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

ไม่ใช่แค่เดย์เทรด : การลงทุนระยะกลาง-ยาวที่สร้างผลตอบแทนมหาศาล

แม้ว่าเดย์เทรดจะเป็นการเทรดหลักของเทสตะ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้หันมาลงทุนในหุ้นระยะกลางและยาวมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เขาสร้างผลกำไรได้อย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา

"การซื้อขายหุ้นรายวัน: ความเสี่ยงต่ำกว่าที่คิด หากปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด"

หลายคนอาจมองว่าการซื้อขายหุ้นรายวัน (Day Trading) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและคล้ายกับการพนัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การซื้อขายรายวันเป็นวิธีการทำกำไรโดยการซื้อและขายหุ้นซ้ำๆ ภายในวันเดียว ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นเปิดทำการ โดยปกติแล้ว นักลงทุนอาจขายหุ้นภายในไม่กี่นาทีหรือแม้แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากซื้อ โดยอาศัยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและสถานะคำสั่งซื้อขายผ่านแผนภูมิหรือกระดานซื้อขาย จากนั้นจึงตัดสินใจซื้อหรือขายทันที

ความเสี่ยงต่ำ เพราะไม่ต้องถือหุ้นนาน

จุดเด่นของการซื้อขายรายวันคือการไม่ถือหุ้นไว้ข้ามวัน หรือพูดง่ายๆ คือ "ซื้อแล้วขายทันที" ดังนั้น ความเสี่ยงจากการที่ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลงอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดการขาดทุนใหญ่จึงมีน้อยกว่าการลงทุนระยะกลางหรือระยะยาว ที่ต้องถือหุ้นไว้เป็นวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน การซื้อขายรายวันจึงอาจเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาดในระยะยาว

การซื้อขายมาร์จิ้น: เครื่องมือสำคัญของ Day Trading

การซื้อขายมาร์จิ้น (Margin Trading) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการซื้อขายรายวัน แม้หลายคนอาจมองว่าการใช้มาร์จิ้นมีความเสี่ยง เพราะทำให้สามารถซื้อขายหุ้นด้วยเงินที่มากกว่าทุนที่มีอยู่ (ประมาณ 3.3 เท่าของเงินมัดจำ) ซึ่งหากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจทำให้ขาดทุนได้มาก อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนตั้งกฎการลงทุนที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ความเสี่ยงก็จะลดลง นอกจากนี้ การซื้อขายมาร์จิ้นยังเปิดโอกาสให้ทำกำไรได้แม้ในตลาดขาลง ผ่านการขายหุ้นก่อนแล้วค่อยซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า

Day Trading เหมาะกับใคร?

การซื้อขายรายวันอาจไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบความมั่นคงและไม่ต้องการเสี่ยงมากเกินไป หากคุณเป็นคนที่ชอบลงทุนแบบเน้นความปลอดภัย และไม่ต้องการสูญเสียเงินต้น การซื้อขายรายวันอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการลงทุนระยะกลางหรือระยะยาว เพราะคุณสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า และไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของตลาดในระยะยาว

เส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์มือทอง : จากขาดทุนสู่กำไรหลายร้อยล้านเยน การเริ่มต้นในโลกของการซื้อขายรายวัน (Day Trading) ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หลายคนอาจสงสัยว่า "สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่วันแรกเลยหรือไม่?" คำตอบคือ "ไม่"

"ผมเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนหลักล้านเยน แต่เดือนแรกก็ขาดทุนไปถึง 300,000 เยน และอีก 100,000 เยนในเดือนถัดมา กว่าที่ผมจะเริ่มทำกำไรได้ต้องใช้เวลาถึงเดือนที่สาม จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับไปสู่รายได้ 500,000 เยนต่อเดือน ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านเยน และต่อยอดไปเรื่อยๆ"

แม้จะเริ่มทำกำไรได้ แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย “ช่วงนั้นผมเครียดมาก ถึงขั้นอาเจียนทุกเช้าโดยไม่รู้ตัว แต่กลับรู้สึกสนุกเพราะเงินเพิ่มขึ้นทุกวัน แถมยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา”

 ห้องเทรด กับจอภาพ 7 จอ – กุญแจสู่ความสำเร็จ
เทสตะ เผยว่า อาวุธสำคัญที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จคือ "สภาพแวดล้อมการลงทุนที่เหมาะสม"

“ผมเริ่มต้นด้วยคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ซึ่งก็เพียงพอในช่วงแรก แต่พอเริ่มชำนาญ ผมพบว่าต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การเคลื่อนไหวของบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือแนวโน้มของฟิวเจอร์ส ทำให้ต้องเปลี่ยนหน้าจอไปมา ซึ่งเสี่ยงต่อการพลาดข้อมูลสำคัญ ผมจึงตัดสินใจเพิ่มคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง ซึ่งช่วยให้ประสิทธิภาพของผมคงที่ขึ้นมาก”

ปัจจุบันเขายังคงใช้เพียง 2 เครื่อง แต่มีจอภาพมากถึง 7 จอ ซึ่งช่วยให้ติดตามข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

กว่าจะค้นพบ “สูตรลับ” ในการทำกำไร

"ช่วงแรกแม้ผมจะชนะในการเทรด แต่ก็ไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องหรือไม่" เขากล่าว "ไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีคนให้คำแนะนำ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คืออ่านบล็อกของเทรดเดอร์คนอื่นและนำมาปรับใช้"

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปีที่สาม เมื่อรายได้ของเขาทะลุ 17 ล้านเยน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทำสถิติสูงสุดที่ 100 ล้านเยนต่อปีในปีที่หก

"เมื่อผมแตะระดับ 100 ล้านเยน ผมเริ่มมั่นใจว่าตัวเองอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะเทรดเดอร์ที่ทำเงินระดับนี้มีจำนวนจำกัด"


ทะลุขีดจำกัดจาก 100 ล้านเยนสู่จุดสูงสุดใหม่

การเติบโตของเขาไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ในอีกสองปีถัดมา ปี 2013 กลายเป็นปีที่ทำลายทุกสถิติ โดยสามารถก้าวกระโดดไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอีก

"เมื่อเงินทุนมากขึ้น วงเงินการซื้อขายมาร์จิ้นก็ขยายออกไป ทำให้สามารถตั้งเป้าหมายกำไรที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องเร่งรีบ ผมไม่ได้คิดจะรวยเร็ว แต่ทุกอย่างเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ"

เรื่องราวของเขาเป็นข้อพิสูจน์ว่า การซื้อขายรายวันไม่ได้เป็นเพียง "การพนัน" อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น การเรียนรู้ และวินัยทางการเงิน