xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มนอนแบงก์อวดผลงานสดใส หลายปัจจัยบวกเอื้อหนุนธุรกิจรุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มนอนแบงก์ทยอยแจ้งงบสิ้นปี 67 อวดผลงานสดใส รายได้และกำไรเติบโต แถมบริษัทเด่นในกลุ่มประกาศจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง ด้านผู้บริหารเดินหน้าขยายพอร์ตต่อเนื่องรับดีมานด์พุ่ง โบรกฯ มองหุ้นนอนแบงก์ปีนี้สดใสจากแนวโน้มดอกเบี้ยลด แถมมาตรการแก้หนี้"ของภาครัฐ “คุณสู้ เราช่วย" หนุน ดันคุณภาพสินเชื่อแกร่ง โบรกฯ ประสานเสียงให้ MTC และ TIDLOR หุ้นเด่นของกลุ่ม 

กลุ่มนอนแบงก์เริ่มส่งสัญญาณฟื้นมาตั้งแต่ปี 67 หลังจากปีก่อนหน้า หลายบริษัทซึม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงต่อเนื่อง กอปรกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ต้นทุนทางการเงินขยับเพิ่ม อีกทั้งกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนถูกกดดันในด้านผลประกอบการ และการควบคุมของภาครัฐที่กดดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้มาร์จิ้นในการดำเนินงานลดต่ำ ปัจจัยเหล่านี้กดดันให้หุ้นนอนแบงก์อ่อนแอ

อย่างไรก็ดี ปี 67 “หุ้นกลุ่มนอนแบงก์” เริ่มฟื้นจากอัตราดอกเบี้ยเริ่มกลับสู่ขาลง ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ได้กลับมาเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง และหลายฝ่ายกำลังตั้งหน้ารอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 26 ก.พ.นี้ ลุ้นว่าจะประกาศปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ ขณะที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 25 ก.พ. ร่อนหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีสาระสำคัญคือคาดหวังมติที่ประชุม กนง. ว่าจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะหวังถึงหากเป็นไปในทิศทางดังกล่าว น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจ แน่นอนว่ากลุ่มนอนแบงก์ได้รับผลดีเต็ม ๆ

 โดยบริษัทกลุ่มนอนแบงก์ ทยอยประกาศผลประกอบการงวดสิ้นปี 67 ออกมาแล้ว และบริษัทที่โดดเด่นและขวัญใจโบรกเกอร์ของกลุ่มนี้ ล้วนทำผลงานออกมาดีต่อเนื่อง พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล ด้าน ผู้บริหารแต่ละ บจ. ล้วน ตั้งเป้าการดำเนินงานปีนี้เพิ่มพอร์ตสินเชื่อให้เติบโตต่อเนื่อง รับดีมานด์พุ่ง อีกทั้งมาตรแก้หนี้ภาครัฐ อย่าง "คุณสู้เราช่วย" นั้นส่งผลดี ทำให้คุณภาพสินเชื่อของกลุ่มนอนแบงก์ดีขึ้น และการตั้งสำรองหนี้เสียลดลง อันจะส่งผลดีต่อกำไรของกลุ่มนอนแบงก์มีแนวโน้มดีขึ้น 

TIDLOR กำไรปี 67 พุ่งแตะ 4.2 พันล. 

บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR แจ้งกำไรปี 67 ที่ 4,230.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% จากปีก่อนหน้า เนื่องมาจากการเติบโตของรายได้จากการขยายตัวของทั้งธุรกิจสินเชื่อ การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ รวมถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจนายหน้าประกัน และมีรายได้รวม 22,160.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% ขณะธุรกิจสินเชื่อสิ้นปี บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อคงค้าง 103,933.7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.6% และควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดี NPL ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.81% อีกทั้งยังมีเบี้ยประกันวินาศภัยรวมมูลค่า 10,176.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.4% ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานการดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้บริษัทนำเสนอขายผลิตภัณฑ์และบริการที่เข้าถึงได้และครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้า

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR กล่าวว่าปี 2568 บริษัทยังคง ให้ความสำคัญกับการเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมปรับกลยุทธ์และแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตให้กับภาพรวมการดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง 

สำหรับความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัท สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้อนุมัติคําขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่พร้อมกับการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์เดิมของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ แล้ว และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้รับอนุญาตในการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จากหน่วยงานที่กำกับดูแลแล้ว โดยปัจจุบัน ติดล้อ โฮลดิ้งส์ อยู่ระหว่างกระบวนการให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับ คาดว่ากระบวนการแลกหุ้น (Tender Offer) จะเกิดขึ้นช่วงครึ่งแรกปี 256

MTC ขอพอร์ตสินเชื่อโต 10-15% คุม NPL 

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC)  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2567 พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 164,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.60% ขณะรายได้รวมอยู่ที่ 27,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.77% และมีกำไรสุทธิ 5,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.58% เทียบปี 66 ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.75% ลดลงต่อเนื่องจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 3.11% เป็นผลมาจากมาตรการในการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และการติดตามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ผลงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการมุ่งเน้นขยายพอร์ตสินเชื่อที่มีหลักประกัน และการเปิดสาขาเพิ่มเป็น 8,172 สาขา ณ สิ้นปี 2567 บอร์ดจึงอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2567 เป็นเงินสด 0.25 บาท/หุ้น และ กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 15 พฤษภาคมนี้"

ปี 68 บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเติบโต 10-15% พร้อมคุม NPLให้ไม่เกิน 2.70% ควบคู่การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรม ภายใต้หลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมเป็นแหล่งเงินทุนที่มีคุณภาพพร้อมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้สังคมไทยอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในมาตรฐานระดับโลก 

SAK ร้อนนี้รุกสินเชื่อโซลาร์รูฟ 

นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK เผยมีพอร์ตสินเชื่อโดยรวมอยู่ที่ 14,268 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,124 ล้านบาท เติบโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%

ทั้งนี้ เป็นผลจากการเปิดสาขาเพิ่ม ส่งผลให้มีจำนวนฐานลูกค้าเพิ่มโดยสินเชื่อที่ดิน สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเติบโตเด่น และจากการขยายผลิตภัณฑ์สินเชื่อโซลาร์รูฟท็อป ด้วยการจัดตั้งบริษัท ศักดิ์สยาม โซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด และถือหุ้น 100% ช่วยสนับสนุนขยายลูกค้าครัวเรือนในตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม รวมทั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งการบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาการปล่อยสินเชื่อที่มีความรัดกุม ทำให้ควบคุมหนี้ NPLs ให้อยู่ในระดับ 2.5 อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

ดังนั้น บอร์ดจึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2567 อัตราหุ้นละ 0.18 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 นี้

 “ปี 2568 วางแผนปักธงการเป็นผู้นำสินเชื่อเพื่อสังคม มอบผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร มุ่งให้สินเชื่อคัดกรองคุณภาพลูกหนี้ เน้นปล่อยสินเชื่ออย่างมีคุณภาพที่มีความเป็นธรรมและรัดกุม และจะรุกขยายสินเชื่อโซลาร์รูฟ ท็อปช่วงหน้าร้อนปีนี้ ขณะภาพรวมธุรกิจสินเชื่อรายย่อยปี 2568 คาดการณ์มีอัตราการเติบโต เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้ดีมานด์ของสินเชื่อยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะดีมานด์สินเชื่อทะเบียนรถเพื่อการเกษตรที่จะ วางเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อรวมโต 15% ทะยานแตะ 16,600 ล้านบาท 

HENG ปีนี้ดันพอร์ตสินเชื่อเกษตรแตะ 5% 

นายวิชัย ศุภสาธิตกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG  งวดปี 67 มีรายได้รวม 2,861 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 73 ล้านบาท ซึ่งสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่อลดความซ้ำซ้อน และการขนส่งเอกสาร รวมทั้งลดการใช้กระดาษ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง ขณะพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 13,206 ล้านบาท ลดลง 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ อีกทั้งนำกระแสเงินสดไปชำระเงินกู้จากสถาบันการเงินล่วงหน้า ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ลดลงจาก 1.9 เท่า ในปี 2566 เป็น 1.5 เท่า ในปี 2567

ดังนั้น บอร์ดอนุมัติการจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.0525 บาทต่อหุ้น และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568

ปี 2568 HENG ตั้งเป้าหมายขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเกษตรให้เติบโต 5% และทะลุ 10% ปี 2569 เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกรและสนับสนุนภาคการเกษตร โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นฤดูกาลเพาะปลูก และยังเตรียมเปิดขยายการให้บริการสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในเขตเมืองและต่างจังหวัด ซึ่งมีความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งขยายสาขาเพิ่มฐานลูกค้า


โบรกฯ ชอบ หุ้น TIDLOR- MTC

บล.ทรีนีตี้ มองหุ้น TIDLOR หลังรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ 1,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.89% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 5.44% จากไตรมาสก่อน ผลจากสินเชื่อที่กลับมาเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ รถบรรทุก และรถยนต์ รวมทั้งผลจากการเปิดสาขาใหม่ และจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่โตตามฤดูกาล ซึ่งบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้ Credit Cost ปรับตัวลง ส่วนแนวโน้มปี 2568 คาดกำไรเติบโต 11.01% จากสมมติฐานสินเชื่อที่เติบโต 15% ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้คาดทรงตัว จึงแนะนำ "ซื้อ"


บล.เคจีไอ มอง TIDLOR หลัง TIDLOR แจ้งว่าหนี้เสียได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และคุณภาพสินทรัพย์กำลังทยอยดีขึ้น จากการ write-off หนี้เสียก้อนใหญ่ ราคาขายรถยึดขาดทุนน้อยลง หนี้เสียใหม่ลดลง ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) มีสัญญาณลดลงในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมากไตรมาส 4 ปี 2567 จึงปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในปี 2568 และลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ลง แนะนำ "ซื้อ"


บล. กรุงศรี คงคำแนะนำ "ซื้อ" MTC ราคาเป้าหมาย 2568 ไว้ที่ 58 บาท เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค เนื่องจากมีการพัฒนาในเชิงบวกในการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2566 และความพยายามในการติดตามหนี้ยังคงแสดงให้เห็นแนวโน้มที่ดีปี 2568 และกำไรปี 2568 ยังคงแตะระดับสูงสุดใหม่ จึงคาดกำไรสุทธิปี 2568F จะยังคงทำสถิติใหม่ต่อไป อยู่ที่ 6,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อรวม เชื่อว่า MTC จะคงแผนการขยายสินเชื่อ โดยเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ความสำคัญกับคุณภาพผู้กู้เป็นหลัก คาดต้นทุนสินเชื่อและอัตราส่วน NPL จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2567 จึงชอบ MTC ในฐานหุ้นกลุ่มสินเชื่อ เพื่อผู้บริโภค


บล. เคจีไอ ฯ คงคำแนะนำ "ซื้อ"หุ้น MTC ประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 50.5 บาท หลังผลประกอบการ 4 พบว่าคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นชดเชย NIM ที่ลดลง โดย NPL เพิ่มขึ้น 1% เทียบไตรมาสก่อนและปีก่อน เพราะ NPL จากสินเชื่อ H/P รถมอเตอร์ไซค์ลดลงอย่างมากจากการ Write-Off หนี้เสีย โดย NPL จากสินเชื่อกลุ่มนี้ลดลงถึง 31% เทียบไตรมาสก่อน และ เกือบ 70% เทียบปีก่อน ทำให้ยอด NPL จากสินเชื่อ H/P กลุ่มนี้ลดลงเหลือ 10% ของ NPL รวมในไตรมาส 4 ปี2566 เหลือ 4% ของ NPL รวมทั้งพอร์ตในไตรมาส4 4 ดังนั้น Credit Cost จึงลดลงมาอยู่ที่ 277bps ในไตรมาสดังกล่าว ( ต่ำที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส ) และ 297bps ในปี 2567 (จาก 358bps ในปี 2566)

บล.บัวหลวง มองหุ้นกลุ่มนอนแบงก์ หลังจาก มติ ครม.อนุมัติร่วมแก้หนี้"คุณสู้ เราช่วย" ของกลุ่มนอนแบงก์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากกลุ่มแบงก์ ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ที่ค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 31-365 วัน ก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 68 ซึ่งจะจ่ายค่างวดเหลือ 70% และลดอดอกเบี้ยลง 10 % ส่วนผู้ประกอบการจะได้รับการชดเชยด้วย sofe loan อัตราดอกเบี้ย 0.01% แต่ในแง่มุมของ view from fundamental นั้น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่ม retail finance ซึ่งชอบ MTC และ TIDLOR มากสุดในกลุ่มฯ จากทิศทางคุณภาพสินทรัพย์ฟื้นตัวดีขึ้นในปี 68 นี้


กำลังโหลดความคิดเห็น