นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (26 ก.พ.) ที่ระดับ 33.77 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.90 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง.) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.65-33.86 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ตามการปรับตัวลงหนักของราคาทองคำ (XAUUSD) ราว -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ -1.4% หลังผู้เล่นในตลาดต่างเทขายทำกำไรทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลงมาก็ตาม ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทถูกชะลอลงบ้าง ตามการรีบาวนด์ขึ้นของราคาทองคำที่กลับมาทรงตัวเหนือโซน 2,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 14.00 น. โดยเราประเมินว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรจับตาผลโหวตของคณะกรรมการ กนง. อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่มติการประชุมในครั้งนี้ อาจ “ไม่เป็นเอกฉันท์” โดยอาจมีคณะกรรมการบางส่วนเห็นควรให้ลดดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 2.00% ซึ่งผลโหวตดังกล่าว รวมถึงมุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทและตลาดบอนด์ไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 32% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง หรือ 75bps ได้ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีหน้า
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทเสี่ยงที่จะเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility โดยปัจจัยที่สามารถทำให้เงินบาทผันผวนได้พอสมควรในช่วงนี้ คือ ทิศทางราคาทองคำ ดังจะเห็นได้จากช่วงคืนที่ผ่านมา ที่แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ซึ่งควรจะหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ทว่า เมื่อราคาทองคำปรับตัวลดลงหนัก ก็สามารถกดดันให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก โดยภาพดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาความสัมพันธ์ของเงินดอลลาร์-เงินบาท-ราคาทองคำของเรา เมื่อใช้ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2015 นอกจากนี้ ผลการศึกษาของนักวิเคราะห์ต่างชาติพบว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดโดยเฉพาะกลุ่ม Systematic Trading เริ่มมีการใช้ปัจจัยราคาทองคำในการประเมินแนวโน้มเงินบาท
ทั้งนี้ เรามองว่า ในระยะสั้นหากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ ซึ่งถือว่าเป็น The Most Crowded Trades ของปีนี้ อาจทำให้มีฟันด์โฟลว์ทยอยไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้บ้าง จนอาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ในช่วงนี้ จนกว่าจะเห็นการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นชัดเจน หรือผู้เล่นในตลาดยังคงกลับเข้าลงทุนในหุ้นเทคฯ หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่อ
ในช่วงระหว่างวันนี้ เรามองว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. ของไทย โดยสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนเกือบ +/-0.20% ได้ในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้ผลการประชุม กนง. ซึ่งเรามองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง หาก กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย และเงินบาทอาจอ่อนค่าได้พอสมควร หาก กนง. “ลดดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด”