Tim Beiko นักพัฒนาหลักของ Ethereum ออกโรงย้ำ แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ย้อนสถานะเครือข่าย Ethereum กลับไปก่อนการแฮ็ก Bybit มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ในทางเทคนิค "ทำได้ยากเกินไป" และอาจก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาลต่อระบบ
Beiko อธิบายว่า การแฮ็กครั้งนี้ไม่เหมือนกับการโจมตี The DAO ในปี 2016 ที่เปิดช่องให้สามารถเปลี่ยนแปลงบล็อกเชนได้ง่ายกว่า เขาระบุว่าธุรกรรมที่ถูกแฮ็กในกรณีของ Bybit ไม่ได้ละเมิดกฎของโปรโตคอล Ethereum ทำให้ไม่มีทาง "ย้อนกลับ" ได้โดยไม่กระทบต่อธุรกรรมอื่นๆ บนเครือข่าย
นอกจากนี้ การพยายามย้อนกลับอาจสร้าง "คลื่นกระแทก" ที่รุนแรงต่อระบบนิเวศของ Ethereum ซึ่งปัจจุบันเป็นรากฐานของ DeFi และสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก Beiko เตือนว่าหากย้อนกลับจริง ไม่เพียงแต่เงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ของ Bybit จะถูกกู้คืน แต่ยังอาจกระทบต่อธุรกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่สนับสนุนการย้อนกลับ เช่น Samson Mow ซีอีโอของ Jan3 เชื่อว่าการกู้คืน ETH ที่ถูกขโมยไป จะช่วยป้องกันไม่ให้เงินดังกล่าวตกไปอยู่ในมือรัฐบาลเกาหลีเหนือ ขณะที่ Arthur Hayes ผู้ก่อตั้ง BitMEX ถึงกับแท็ก Vitalik Buterin เพื่อกดดันให้พิจารณาย้อนกลับธุรกรรม
ด้าน Ben Zhou ซีอีโอของ Bybit วางตัวเป็นกลาง โดยระบุว่า การตัดสินใจเรื่องนี้อาจต้องพึ่งพากระบวนการลงคะแนนของชุมชน Ethereum มากกว่าการตัดสินใจของคนใดคนหนึ่ง
ทั้งนี้สถานการณ์นี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงร้อนแรงว่า Ethereum ควร "คงหลักการเดิม" หรือ "ยอมเปลี่ยนเพื่อความยุติธรรม" ในอุตสาหกรรมคริปโต