น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย SET มีโอกาสปรับตัวลงจากแรงกดดันของหุ้น DELTA หลังประกาศงบออกมาต่ำกว่าตลาดคาด ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด
ล่าสุด ตลท. สรุปมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สะสมตามกลุ่มนักลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-14 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าสถาบันในประเทศขายสุทธิ 9,350.06 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 662.53 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 9,947.33 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 18,634.86 ล้านบาท จึงให้กรอบดัชนีระหว่าง 1,220-1,290 จุด
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ วันที่ 26 ก.พ. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 1/2568 วันที่ 28 ก.พ. ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย สัปดาห์ที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ สศอ. แถลงดัชนีอุตสาหกรรม สศค. รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค
ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ วันนี้ 19 ก.พ. ญี่ปุ่นรายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือน ม.ค. ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรเดือน ธ.ค. จีนรายงานดัชนีราคาบ้านเดือน ม.ค. สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน ม.ค. เช้าวันที่ 20 ก.พ. เฟดเผยรายงานการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. วันที่ 20 ก.พ. จีนรายงานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีและ 5 ปี สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีการผลิตเดือน ก.พ. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน ม.ค.
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy E-receipt ได้แก่ CRC, COM7, ERW, CENTEL, MINT, M, AU, TNP, SIS, SYNEX, IP และ HL
รวมทั้งหุ้นที่เข้าออกดัชนี MSCI Rebalance โดย MSCI Global Standard : ไม่มีหุ้นเข้า แต่มีหุ้นออก ได้แก่ PTTGC, TOP ส่วน MSCI Global Small Cap : หุ้นเข้า ได้แก่ GPSC, PTTGC, SCGP, TOP และหุ้นออก ได้แก่ BSRC, DCC, ERW, GFPT, KAMART, PSG, PSH, SAPPE, STECON, THG, TIPH (ใช้ราคาปิด 28 ก.พ.)
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินราคาทองคำปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไรเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในปี 68 อยู่ที่ 10%YTD ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นให้ผลตอบแทนเพียง 4%YTD
โดยทองคำยังได้แรงหนุนจากความกังวลสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ อีกทั้งได้ลงนามมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) คาดมีผลบังคบใช้เดือน เม.ย. อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ เผยตัวเลขเงินเฟ้อ CPI และ PPI ปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาด ประกอบกับประธานเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนเลื่อนคาดการณ์ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเดือน ก.ย. จากเดิมคาดว่าจะปรับลดในเดือน ก.ค. เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด
ทั้งนี้ มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้ 2,880-2,950 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แนะทยอยขายทำกำไรที่แนวต้าน