หน่วยงานเฉพาะกิจด้านสกุลเงินดิจิทัลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาสร้างกองทุนสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ ซึ่งอาจทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ และส่งผลให้ประเทศอื่นๆ อาจนำมาตรการลักษณะเดียวกันมาใช้
อย่างไรก็ตาม การถกเถียงยังคงดำเนินต่อไปว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือกระทรวงการคลัง ควรเป็นผู้ดูแลกองทุนสำรองนี้ โดย Fed ยืนกรานว่ากฎหมายปัจจุบันไม่อนุญาตให้ถือครองบิทคอยน์หากต้องการดำเนินการดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ
แหล่งเงินทุนสำหรับกองทุนสำรอง ทองคำ หนี้สิน หรือ บิทคอยน์ที่ถูกยึด?
ในรายงานล่าสุด บริษัทนายหน้าชื่อดัง Bernstein ได้เสนอแนวทางการระดมทุนที่เป็นไปได้ 3 วิธีสำหรับการตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ ได้แก่
1. ขายทองคำสำรองของสหรัฐฯ – แนวทางนี้อาจถูกคัดค้านจากประชาชนและนักการเมืองบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วุฒิสมาชิกซินเธีย ลัมมิส จากรัฐไวโอมิง สนับสนุนให้รัฐบาลนำทองคำบางส่วนมาใช้ซื้อบิทคอยน์
2. ออกพันธบัตรรัฐบาล – ใช้การกู้ยืมเงินเพื่อนำมาซื้อบิทคอยน์ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบัน
3. ใช้บิทคอยน์ที่ถูกยึดจากการบังคับใช้กฎหมาย – โดยปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง บิทคอยน์ประมาณ 200,000 BTC มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการยึดทรัพย์จากคดีอาชญากรรมไซเบอร์ แนวทางนี้อาจมีโอกาสได้รับการยอมรับทางการเมืองมากกว่าการขายทองคำ
แม้จะมีข้อเสนอเหล่านี้ นักวิเคราะห์หลายคนยังคงสงสัยว่ารัฐบาลจะตัดสินใจขายทองคำเพื่อซื้อบิทคอยน์หรือไม่ แต่การใช้บิทคอยน์ที่ถูกยึดอาจเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากกว่าในทางปฏิบัติ
การตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์จะเป็นตัวเร่งให้ตลาดคริปโตพุ่งขึ้นอีกครั้ง?
Bernstein เชื่อว่าหากสหรัฐฯ จัดตั้ง กองทุนสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ จะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการปรับตัวขึ้นของตลาดคริปโต คล้ายกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2567 จากการเปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์( Bitcoin ETF )
ในช่วงแรกของการเปิดตัว ETF ราคาของบิทคอยน์พุ่งขึ้นจาก 25,000 ดอลลาร์เป็น 48,000 ดอลลาร์ และเมื่อเงินทุนไหลเข้ามามากขึ้น ราคาก็ทะยานแตะ 73,750 ดอลลาร์ ต่อ BTC กระแสข่าวเกี่ยวกับการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้บิทคอยน์ ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ประมาณ 110,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะปรับตัวลงมาอยู่ที่ 95,377 ดอลลาร์ ในช่วงเวลาปัจจุบัน
นอกจากนี้ การลงทุนจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด โดยล่าสุด Mubadala จากอาบูดาบี ได้ลงทุน 437 ล้านดอลลาร์ ในกองทุน Bitcoin ETF ของ BlackRock แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มกองทุนความมั่งคั่งของรัฐทั่วโลก
ในขณะเดียวกัน บริษัท MicroStrategy ยังคงสะสมบิทคอยน์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่แนวโน้มกฎระเบียบที่เอื้อต่อสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นในสหรัฐฯ ก็ช่วยสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อบิทคอยน์ในระยะยาว
บิทคอยน์จะกลายเป็น "ทองคำดิจิทัล" ของระบบการเงินโลกหรือไม่?
หากสหรัฐฯ ตัดสินใจจัดตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันระดับโลก ที่ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มสะสมบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรอง
นักวิเคราะห์จาก Bernstein อย่าง Gautam Chhugani ให้ความเห็นว่า "หากสหรัฐฯ ก้าวเข้าสู่การสำรองบิทคอยน์อย่างจริงจัง อาจกระตุ้นให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของการสะสม BTC ในหมู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการดังกล่าวอาจเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ รวมถึง กฎระเบียบที่เข้มงวด และความกังวลของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เคยต่อต้านการถือครองบิทคอยน์มาโดยตลอด
ดังนั้น หากต้องการเดินหน้ากองทุนสำรองบิทคอยน์อย่างเป็นทางการ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการผลักดันร่างกฎหมายและเจรจาต่อรองในสภาคองเกรส
ทั้งนี้แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่แนวโน้มของตลาดบิทคอยน์และบทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัลในระบบการเงินโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกต่างจับตาดูความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพราะหากมีการสำรองบิทคอยน์อย่างเป็นทางการ อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบการเงินยุคใหม่