xs
xsm
sm
md
lg

คิงส์เพาเวอร์ทุบ AOT จมดิน / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การทรุดตัวหนักของหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ทำให้ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั่งไม่ติด ต้องทำหนังสือถึง AOT ขอให้ชี้แจงสาเหตุที่หุ้นตกรุนแรง เพื่อให้นักลงทุนรับทราบ

ไม่บ่อยนักลงที่ตลาดหลักทรัพย์จะออกหนังสือจี้ให้บริษัทจดทะเบียนชี้แจงถึงราคาหุ้นที่ตกต่ำ เพราะส่วนใหญ่มีแต่ทำหนังสือสอบถามถึงราคาหุ้นที่ขึ้นอย่างร้อนแรงไร้เหตุผล

ส่วนหุ้น AOT ที่ถูกเขายอย่างหนัก เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากมีความกังวลผลกระทบจากการที่บริษัท คิงส์เพาเวอร์ จำกัด เจ้าของสัมปทานดิวตี้ฟรีแอร์พอร์ต ในสนามบินการท่าอากาศยานขาดสภาพคล่อง ขอเลื่อนการชำระหนี้ และมีแนวโน้มที่จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนน้อยลง

ราคาหุ้น AOT ลงมาปิดที่ 47 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 5 ปี ทรุดหนักในวันเดียว 7.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 8,702.08 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดอันดับหนึ่งประจำวัน

AOT เป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์แทบทุกสำนักเชียร์ให้ลงทุน โดยคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกลับเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ผลประกอบการเติบโตขึ้น

แต่รายได้สำคัญส่วนหนึ่ง และทำให้บริษัทมีผลกำไรปีละกว่า 20,000 ล้านบาทในอดีต เกิดจากรายได้ส่วนแบ่งผลตอบแทนของ”คิงส์เพาเวอร์” ปีละประมาณ 25,000 ล้านบาท แต่หลังเกิดวิกฤตโควิด และนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เสียชีวิต ธุรกิจคิงส์พาวเวอร์จึงเริ่มมีปัญหา รายได้ตกต่ำ จนส่งผลตอบแทนส่วนแบ่งรายได้น้อยลง

นอกจากนั้น ยังเกิดปัญหาสภาพคล่อง ทำให้มีหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้นหลายพันล้านบาท และ AOT ยังผ่อนปรนลดดอกเบี้ยที่ขอเลื่อนการชำระออกไปอีกด้วย

มีการประเมินว่า ถ้า ”คิงส์เพาเวอร์” ไปไม่รอด และต้องเปิดประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรีแอร์พอร์ตใหม่ ผลตอบแทนจากส่วนแบ่งผลประโยชน์จากพื้นที่ดิวตี้ฟรีแอร์พอร์ตในสนามบินของ AOT อาจลดลงถึงประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะฉุดให้ผลกำไรลดลง

มุมมองที่เป็นลบในแนวโน้มผลประกอบการ จึงจุดชนวนการเทขายหุ้น AOT จนราคาดิ่งลงลึก และเป็นหุ้นที่ฉุดดัชนีในวันศุกร์จนหัวทิ่มหัวต่ำลดลงกว่า 12 จุด

ปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย จะมีทั้งสิ้นประมาณ 40 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวนประมาณ 36 ล้านคน ธุรกิจท่องเที่ยวที่คึกคักสุดขีด

ย้อนถึงช่วงเวลาก่อนวิกฤตโควิด ทำให้ธนาคารโลกหรือ worldbank ปรับประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ปี 2568 เพิ่มเป็น 2.9% จากเดิมประเมินไว้เพียง 2.5%

หุ้น AOT จึงเป็นหุ้นตัวเด่นที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟันธงให้ซื้อ แต่ใครที่เข้าไปซื้อเจ็บหนักกันหมด เพราะผลกระทบจากรายได้คิงส์เพาเวอร์ที่ขาดขาย และไม่น่าเชื่อว่า คิงส์เพาเวอร์จะตกต่ำถึงขั้นขาดสภาพคล่อง จนต้องขอยืดหนี้ AOT

ผลประกอบการ AOT ไตรมาสแรก (1 ต.ค.-21 ธ.ค.2567) ผลกำไรยังเติบโตอยู่ โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,5663.03 ล้านบาท ความกังวลว่า ผลกำไรทั้งปีจะชะลอตัวลง นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันจึงแห่เทขายหุ้นทิ้ง ลดความเสี่งจากความไม่แน่นอนของผประกอบการ

แนวโน้มหุ้น AOT เปลี่ยนไปแล้ว ผลกำไรอาจไม่สดใสเหมือนเดิม โดยจะเห็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ไม่รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยที่กลับมาบูมสุดๆ อีกครั้ง

นักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้น AOT จำนวน 96,687 ราย คงต้องทบทวนว่า จะสู้ต่อหรือถอดใจขายหุ้นทิ้ง หลังจากนักลงทุนสถาบันแห่เทขายไปล่วงหน้าแล้ว








กำลังโหลดความคิดเห็น