อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกระดับสงครามการค้ากับสหภาพยุโรปและกลุ่ม BRICS กำหนดเส้นตายมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ 1 เมษายน อ้างนโยบายภาษีของยุโรปเอาเปรียบธุรกิจอเมริกัน ขณะที่ EU เตรียมตอบโต้ทันที ความพยายามเจรจาล้มเหลว ด้านทรัมป์เล็งขยายภาษีครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น รถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับสหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) โดยกำหนดเส้นตายให้แผนการขึ้นภาษีศุลกากรใหม่มีผลในวันที่ 1 เมษายนนี้ ทรัมป์อ้างว่านโยบายการค้าของยุโรป เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทำให้ธุรกิจอเมริกันเสียเปรียบ และเขาตั้งใจที่จะแก้ไขความไม่สมดุลนี้
สหภาพยุโรปเตรียมตอบโต้ หลังทรัมป์ขึ้นภาษีศุลกากร
นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออกมาเตือนว่าสหภาพยุโรปจะตอบโต้ทันทีหากสหรัฐฯ ดำเนินการตามแผนขึ้นภาษีศุลกากร โดยเธอระบุว่ามาตรการดังกล่าว "ไม่มีเหตุผลและเป็นอันตรายต่อการค้าโลก" ความพยายามเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปและทีมงานของทรัมป์ล้มเหลว หลังการประชุมสั้นๆ ที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ทรัมป์ยังมีแผนขยายขอบเขตการขึ้นภาษีศุลกากรให้กว้างขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจยุโรป
ทรัมป์เตือนกลุ่ม BRICS หลังพยายามลดอิทธิพลดอลลาร์
นอกจากสหภาพยุโรป ทรัมป์ยังได้ออกคำเตือนไปยังกลุ่มประเทศ BRICS โดยอ้างว่าการขู่ขึ้นภาษีในอดีตของเขาทำให้กลุ่ม BRICS ไม่สามารถผลักดันสกุลเงินร่วมเพื่อแข่งขันกับดอลลาร์สหรัฐได้ ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 100% หากกลุ่ม BRICS พยายามท้าทายอิทธิพลของดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ผู้นำกลุ่ม BRICS ปฏิเสธแผนดังกล่าว และเน้นย้ำว่ากลุ่มจะมุ่งเน้นการเพิ่มการค้าในสกุลเงินท้องถิ่น แทนการสร้างสกุลเงินทางเลือกเพื่อแทนที่ดอลลาร์
ทรัมป์เล็งทบทวนนโยบายการค้าโลก ตั้งเป้าแก้ไขความไม่สมดุล
ทรัมป์ยังอยู่ในกระบวนการทบทวนนโยบายการค้าโลก โดยประเมินมาตรการต่างๆ เช่น ภาษีนำเข้า กฎทรัพย์สินทางปัญญา และโครงสร้างภาษีมูลค่าเพิ่ม โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ยืนยันว่ากำลังใช้กลยุทธ์ภาษีศุลกากรที่กว้างขึ้น และคาดว่าจะเห็นผลภายในเดือนเมษายนนี้
จีนซึ่งเผชิญกับภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ มาแล้ว กำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของทรัมป์อย่างใกล้ชิด ขณะที่ทรัมป์เองก็กำลังเปลี่ยนโฟกัสไปยังภาคส่วนอื่นๆ ที่เขามองว่าส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ยุโรปตึงเครียด หลังทรัมป์วิจารณ์นโยบายยุโรป
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปกำลังตึงเครียดมากขึ้น หลังรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ วิพากษ์วิจารณ์การปกครองและนโยบายประชาธิปไตยของยุโรปในการประชุมความมั่นคงมิวนิก โดยเขากล่าวหาว่าผู้นำยุโรป "กลัวผู้มีสิทธิเลือกตั้งของตนเอง" คำพูดของแวนซ์ได้รับการตอบรับด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจนจากผู้นำยุโรป
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวทางนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ยังสร้างความกังวลให้กับพันธมิตรในยุโรป โดยเฉพาะการสนทนาโดยตรงกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน โดยไม่ปรึกษาพันธมิตรใน NATO ทำให้หลายประเทศในยุโรปรู้สึกไม่สบายใจ ผู้นำสหภาพยุโรปยืนกรานว่าการแก้ไขปัญหาใดๆ เกี่ยวกับยูเครนจะต้องมีการมีส่วนร่วมของยูเครนด้วย เนื่องจากเกรงว่าวิธีการของทรัมป์อาจทำลายตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของยูเครน
ตลาดตอบสนองทันที สะท้อนความไม่แน่นอน
ตลาดการเงินตอบสนองต่อความตึงเครียดทางการค้าและการทูตทันที โดยหุ้นรัสเซียพุ่งสูงขึ้น ขณะที่หุ้นบริษัทด้านการป้องกันประเทศในยุโรปร่วงลง สะท้อนถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อพันธมิตรในยุโรปและ NATO
อย่างไรก็ดีความขัดแย้งทางการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้กำลังสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว