ผู้เชี่ยวชาญเกาหลีใต้เผย ความนิยมของประชาชนที่มีต่อสกุลเงินดิจิทัลเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คดียักยอกทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
คดีพุ่ง 29% ภายในปีเดียว
สำนักข่าวเฮราล กุงแจ รายงานโดยอ้างข้อมูลจากสำนักงานอัยการ ระบุว่า ในปี 2566 คดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับ "การยักยอกทรัพย์และละเมิดความไว้วางใจ" เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอัยการได้จัดการกับคดีดังกล่าวมากถึง 3,966 คดี ขณะที่ข้อมูลของปี 2567 ยังไม่มีการเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมคดียักยอกที่เกี่ยวข้องกับ "ทรัพย์สินสูญหาย" และคดีที่มีการตกลงกันนอกศาล ซึ่งหมายความว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้
ผู้เชี่ยวชาญเตือนระบบป้องกันยังอ่อนแอ
ศาสตราจารย์พิเศษ พาร์ค กี-แท จากมหาวิทยาลัยทงกุก ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสอบบัญชีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และปัจจุบันเป็นซีอีโอของบริษัทซอฟต์แวร์ตรวจจับการยักยอกทรัพย์ ระบุว่า “ระบบป้องกันการยักยอกทรัพย์ของบริษัทหลายแห่งในเกาหลีใต้ยังอ่อนแอ”
เขาอธิบายว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พนักงานจำนวนมากถูกล่อลวงให้ลงทุนในหุ้น การพนัน และสกุลเงินดิจิทัลเพื่อหวังผลกำไรสูง ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การกระทำผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาวิธีการยักยอกทรัพย์ที่ซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องพบหน้ากันมีจำนวนเพิ่มขึ้น
เฉลี่ย 11 คดีต่อวัน - ยุคทองของการยักยอก
ข้อมูลระบุว่า อัยการต้องจัดการกับ "คดียักยอกทรัพย์และละเมิดความไว้วางใจ" เฉลี่ยวันละ 11 คดี หรือคิดเป็นหนึ่งคดีทุกๆ 2 ชั่วโมง
สื่อเกาหลีใต้บางสำนักถึงกับเรียกสถานการณ์นี้ว่าเป็น “ยุคทองของการยักยอกทรัพย์”
นอกจากนี้ สถิติในปี 2566 ยังพบว่า มีผู้ถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงและละเมิดความไว้วางใจถึง 216 คน โดยคดีที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเงินมากกว่า 500 ล้านวอน (ประมาณ 344,260 ดอลลาร์) มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมเป็น 612 คดี
ปี 2567 ความรุนแรงเพิ่ม - เชื่อมโยงสกุลเงินดิจิทัลชัดเจนขึ้น
รายงานล่าสุดบ่งชี้ว่าปี 2567 อาจมีคดีลักษณะนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ศาลตัดสินจำคุกพนักงานธนาคารรายหนึ่งเป็นเวลา 15 ปี หลังขโมยเงินของนายจ้างไปซื้อสกุลเงินดิจิทัล
นอกจากนี้ เกาหลีใต้ยังเคยตกตะลึงกับข่าวข้าราชการรายหนึ่งที่ยักยอกเงินกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติถึง 2.8 ล้านดอลลาร์ ก่อนนำไปแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลและหลบหนีออกนอกประเทศ สุดท้ายถูกจับกุมในฟิลิปปินส์ ขณะใช้ชีวิตอยู่ในรีสอร์ตหรู
เมื่อต้นเดือนนี้ อัยการยังได้ตั้งข้อหาทนายความคนหนึ่งในข้อหายักยอกทรัพย์และฉ้อโกง โดยเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฉ้อโกงผ่านแพลตฟอร์มขายเหรียญปลอม มูลค่ากว่า 7.9 ล้านดอลลาร์ ร่วมกับทนายอีก 5 ราย
ทั้งนี้จากสถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าปี 2567 อาจเป็นปีที่คดียักยอกทรัพย์ในเกาหลีใต้พุ่งสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล