บอร์ด "ปัญจวัฒนาพลาสติก" ไฟเขียวซื้อหุ้นคืนเพิ่มไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ประกาศควักเงินเพิ่มอีก 50 ล้านบาท รวมเป็น 100 ล้านบาท เชื่อมั่นในผลการดำเนินงานของทุกกลุ่มอุตสาหกรรมของบริษัทที่เริ่มมีออเดอร์กลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า บริษัทประกาศเดินตอกย้ำตามแผนการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น หวังบริหารสภาพคล่อง รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และดูแลผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติแก้ไขวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท จากเดิม 50 ล้านบาท
การเพิ่มวงเงินการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมั่นใจในธุรกิจต่างๆ ของบริษัทที่เริ่มมียอดขายกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ที่มีการเติบโตทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร และกลุ่มบรรจุภัณฑ์สินค้าเคมีและอุปโภคบริโภค รวมถึงกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะมีงานนิวโมเดลเข้ามาในปีหน้า รวมถึงธุรกิจลอนดรี้ ที่มีการขยายการลงทุนต่อเนื่องจากปีก่อนจนถึงกลางปีนี้ ซึ่งจะทำให้ได้ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนด้านออโตเมชัน และบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด รวมถึงพิจารณาการลงทุนในโครงการต่างๆ และดูแลงบประมาณรายจ่ายอย่างระมัดระวังในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ทำให้คณะกรรมการบริหารมีความมั่นใจว่าภาพรวมบริษัทจะเติบโตด้านยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินที่สูงขึ้น จากการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นการบริหารการเงินเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้น ในอนาคตสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกลุ่มบริษัท รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทเริ่มดำเนินการซื้อหุ้นคืนผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านแล้ว และจะครบกำหนดกรอบระยะเวลาในการซื้อหุ้นคืนวันที่ 13 มิถุนายน 2568
“การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ส่งผลบวกต่อผู้ถือหุ้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตรากำไรสุทธิ (EPS) และเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share) ที่สำคัญราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวในปัจจุบันต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาตัดสินใจเข้าโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อสนับสนุนการสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท รวมถึงเป็นการสร้างผลตอบแทนและความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
นายวิวรรธน์ กล่าวทิ้งท้ายเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่น ว่า บริษัทมองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมี 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2.กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3.กลุ่มธุรกิจ Healthcare ดังนั้นธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทประมาณการการเติบโตในปี 2568 เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการอัตราการเติบโตกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20% จาก 18% เป็น 20-23% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare ซึ่งกลุ่มธุรกิจดังกล่าว เริ่มสร้างรายได้ให้บริษัท ผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ในปีนี้ บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 20-25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจากบริษัทจะมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น Oxygen Humidifier สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไตและถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง