xs
xsm
sm
md
lg

RCL ได้ Trade War หนุน แต่ระยะยาวค่าระวางกดดัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อาร์ซีแอล”ได้ปัจจัยหนุนระยะสั้นจากสงครมการค้า กระตุ้นจีนเร่งส่งออก มองระยะยาวค่าระวางเรือลดลงต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันรายได้ – กำไรลดลง

ต้องยอมรับว่าราคาหุ้น บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) (RCL) ปัจจุบัน (7ก.พ.) ที่ระดับ 22.40 บาท/หุ้นนั้นลดลงไปมากเกือบ 2 เท่าตัวจากที่เคยสร้างจุดสูงสุดประมาณ 63 บาท/หุ้นในช่วง มิ.ย. 2564 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ธุรกิจของบริษัทเติบโตไฉไลยิ่งนัก

 สาเหตุสำคัญมาจากรายได้ค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น เป็นมูลค่ามากกว่า 16,000 บาทต่อตู้ สูงกว่าค่าระวางเรือในไตรมาส 2/64 ถึง 13% และสูงกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63 ถึง 132% โดยปริมาณการขนส่งตู้สินค้าเพิ่มขึ้น 4% จากความต้องการเช่าเรือที่สูงขึ้น ความแออัดของท่าเรือ และการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเหตุให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น 

กล่าวได้ไปว่า ปี 2564 -2565 นับเป็นปีทองของบริษัท ด้วยรายได้รวมระดับ 3.8 หมื่นล้านบาท และ 5.22 หมื่นล้านบาทตามลำดับ ทำให้กำไรสุทธิของทั้งปีอยู่ที่ 1.79 หมื่นล้านบาท และ 2.46 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 21.69 บาท และ 29.71 บาท ผลักดันให้มูลค่ามาร์เกตแคปเคยขึ้นไปสูงถึง 4.08 หมื่นล้านบาท

 แต่พอเข้าสู่ปี 2566 ด้วยสถานการณ์สภาวะเงินเฟ้อ และทิศทางดอกเบี้ยข่ขึ้นส่งผลกดดันให้ศักยภาพการจับจ่ายใช้สอยชะลอตัวลง อีกทั้งค่าระวางปรับตัวลดลงต่อเนื่องทำให้รายได้ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 2.68 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาทเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของบริษัทเดินหน้าเข้าสู่ทิศทางขาลงอย่างชัดเจน 

ต่อมาในปี 2567 ทิศทางธุรกิจมีท่าทีฟื้นตัวเมื่อบริษัทแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิ 4.09 พันล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.94 บาท เพิ่มขึ้น 600% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 584.87 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.71 บาท ทำให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 5.85 พันล้านบาท กำไรต่อหุ้น 7.06 บาท จากงวดเดียวกันปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 2.07 พันล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.50 บาท ทำให้หลายฝ่ายกำลังจับตาผลประกอบการไตรรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมาของบริษัท

 ไฮซีซั่นหนุนปริมาณขนส่ง

มีการคาดการณ์ว่า กำไรที่เพิ่มขึ้นมาในไตรมาส 3/67 นั้นมาจากอัตราค่าระวางที่สูงขึ้นจากวิกฤตทะเลแดง การสต๊อกสินค้าล่วงหน้า และปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากเรือลำใหม่ อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่เพิ่มขึ้น โดยมีความเสี่ยงขาลงเพิ่มเติมจากสินค้าคงคลังของฝั่งผู้น่าเข้าที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มอุปทานเรือหากความขัดแย้งในทะเลแดงยุติ และการหดตัวของการค้าโลกจากสงครามการค้า

นั่นทำให้เชื่อว่าแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ปริมาณขนส่งช่วงจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นรับเทศกาลเฉลิมฉลอง และตรุษจีนในช่วงQ1/68 แต่แนวโน้มกำไรคาดว่าจะลดลงตามค่าระวางเรือ จากสภาวะ Port Congestion หลายท่าเรือทั่วโลกคลี่คลายลง รวมถึง Orderbook-To-Fleet Ratio ปี 2567 ที่สูงถึง 21% โดยคาดว่าลดลงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 

สิ่งนี้ นำไปสู่การปรับประมาณการกำไรปี 2567-68 ลง 32.4% และ 40.0% จากประมาณการเดิม ประเมินปี 2568 อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี Discount 0.5 S.D. ที่ 0.46 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 26.75 บาท

 Trade Warเป็นปัจจัยหนุน

อย่างไรก็ตามแม้แนวโน้มกำไรจะลดลงแต่  RCL เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ที่เล็งเก็บภาษีจากจีนและประเทศอื่นๆเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเร่งส่งสินค้าเป็นช่วงๆ จนสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้น RCL 

รวมถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในปี2568 ไม่ว่าจะเป็นการนัดหยุดงานที่ท่าเรือ การขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ภาวะสงคราม สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างsentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้น RCL ท่ามกลางภาพปัจจัยพื้นฐานที่แนวโน้มค่าระวางในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเป็นขาลง

 เพิ่มกองเรือต่อเนื่อง

และจากการรายงานแผนธุรกิจในปี 2567 พบว่า แม้ภาพรวมจะเผชิญความผันผวนแต่ RCL ยังเดินหน้าขยายธรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง ส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้ให้ บริษัท ริจิแนล คอนเทนเนอร์ไลน์ พีทีอี แอลทีดี ( RCS ) บริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 100 จะซื้อเรือขนาด 4,400 ทีอียู (TEU) เพิ่มเติมจำนวน 2 ลำ

โดย เรือที่บริษัทฯ ได้สั่งต่อเพิ่มเติมนั้นเป็นลำที่ 7 และ 8 ของขนาด 4,400 TEUs ซึ่งจะนำมาใช้ในกองเรือของบริษัทฯ เอง หรือเช่าระยะยาวออกไป นอกจากนี้ ในครึ่งหลังของปี 2567 บริษัทฯ จะรับมอบเรือใหม่ขนาด 7,000 TEUs อีก 3 ลำ โดยหนึ่งในนั้นได้ทำสัญญาเช่าระยะยาวออกไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือจะใช้ในเส้นทางอินเดียตะวันตก ส่วนเรือขนาด 12,000 TEUs จำนวน 2 ลำ ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในเส้นทางตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ การขยายกองเรือของบริษัทฯ นี้ไม่เพียงแค่เสริมประสิทธิภาพกองเรือของบริษัทฯ แต่ยังยกระดับความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และสร้างรากฐานในการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของบริษัทฯอีกด้วย โดย ณ สิ้นปี 2567 คาดว่ากองเรือของบริษัทจะมีความจุรวม 180,000 TEU 

 ค่าระวางเรือลดลง

เมื่อเร็วนี้ บล.เอเชีย พลัส (ASPS) ประเมินกำไร RCL ปี 2567 อยู่ที่ 1,500 - 2,500 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนตามค่าระวางที่ลดลงหลังปัญหาท่าเรือคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังดีกว่างวดไตรมาส 4 ปี66 ที่ขาดทุนจากการด้อยค่าเรือ โดยมองแนวโน้มระยะสั้นไม่สดใสจากข้อตกลงระหว่าง ILWU และ USMX รวมถึงดัชนี SCFI ที่ปรับลง 20% แต่ยังคงราคาเป้าหมายที่ 22 บาท อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี พร้อมคำแนะนำ "Underperform"

 ภาพรวมกำไรจากการดำเนินงานปี 2567 ลดลงตามค่าระวาง SCFI เฉลี่ยที่ลดลงจาก 3,054 จุดในไตรมาส 3ปี 67 เหลือ 2,247 จุด ในไตรมาส4 ปี67 แม้ต้นทุนค่าระวางยังควบคุมได้ดี แม้มองว่าการบรรลุข้อตกลงระหว่าง ILWU และ USMX ทำให้การเดินเรือเป็นไปได้ตามปกติ และการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ประกาศขั้นภาษีสินค้าจากจีนในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง สะท้อนถึงท่าทีที่ผ่อนคลายลงในการเจรจากับจีน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ค่าระวางไม่กลับไปอยู่ในระดับสูง 

สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ปรับลดคำแนะนำเป็น "Underperform" เนื่องจากภาพรวมไม่สดใสจากปัจจัยภายนอกที่กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตามยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ไว้เท่าเดิม แต่ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 22 บาท อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี พร้อมทั้งแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเข้า-ออกโดยเร็ว เนื่องจากราคาหุ้น RCL ผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงของค่าระวาง

นอกจากนี้ ASPS ยังให้ความสำคัญกับมาตรการด้าน ESG ของ RCL ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนและเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร

 ระยะสั้นจีนโหมส่งออก

ส่วนประเด็นความเสี่ยงจากสงครามการค้า (Trade War) รอบใหม่หลัง “ทรัมป์” กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ นั้นเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างจียน-สหรัฐ มีแนวโน้มพึ่งพิงกันน้อยลง แม้สหรัฐฯจะขาดดุลการค้ากับจีนอันดับ 1 ของโลก แต่จะเห็นได้ว่าจีนลดความเสี่ยงชะลอการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯลงมาเรื่อยๆนับตั้งแต่ปี 61

ขณะที่สหรัฐฯเคยขาดดุลการค้ากับจีนจาก 3.8 แสนล้านเหรียญลดลงมาอยู่ที่ 2.6 แสนล้านเหรียญในปี 66 กลับมาที่ไทย พบว่าสหรัฐฯขาดดุลกับไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่ 1.68 หมื่นล้านเหรียญ (อันดับ 13 ของโลก)ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 3.7 หมื่นล้านบาท (อันดับ 11 ของโลก)

 นั่นทำให้ในอีกแง่มุมหนึ่งของการลดความเสี่ยง Trade War อาจเห็นจีนเร่งส่งออกสินค้าช่วงที่เหลือก่อนที่ “ทรัมป์”จะเดินหน้าปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดย Bloomberg เพิ่มคาดการณ์ส่งออกจีนจาก5% เป็น 7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน พร้อมกับประเมินว่าจะหนุนการส่งออกจากจีนปี 67 ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

สิ่งที่เกิดขึ้นหนุนให้ปริมาณการเร่งขนส่งและตุนสินค้ามีโอกาสเพิ่มขึ้น ซึ่งยังต้องรอติดตามค่า Freight จะทยอยเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ โดยหากปรับตัวสูงขึ้น จะถือเป็นแนวโน้มบวกต่อกลุ่มขนส่งและเดินเรือ นั่นรวมถึง RCL ที่จะได้อานิสงส์จากเรื่องดังกล่าวด้วย

ด้าน บล.กสิกรไทย ประเมินทิศทางธุรกิจ RCL ว่าคาดกำไรไตรมาสไตรมาส4 ปี67 จะเติบโตจากปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน โดยคาดว่า RCL จะรายงานกำไรจำนวน 2.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 67 พลิกจากผลขาดทุนสุทธิที่ 571 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี66 แต่ลดลง 36% เทียบต่อไตรมาส พร้อมคาดว่ากำไรจะลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากดัชนี China Containerized Freight Index (Southeast Asia) ลดลง 8% มาอยู่ที่ 1,126 จุด ในไตรมาส 4 ปี67

 จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ที่ลดลงหลังจากช่วงพีคซีซั่นในไตรมาส 3 ปี 67 แต่คาดว่าจะถูกชดเชยจาก lifting volume ที่สูงขึ้น 2% เทียบไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทได้รับเรือใหม่ขนาด 12,000 TEU ในไตรมาส 4 ปี 67 โดยเชื่อว่าการเติบโตเชิงปีต่อปี สาเหตุหลักมาจากอัตราค่าระวางที่สูงขึ้น 55% เมื่อเทียบปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนหลักจากเรือที่ใช้เส้นทางยาวขึ้นรอบๆ แหลมกู๊ดโฮปแทนที่จะใช้คลองสุเอซ 

ทั้งนี้ การส่งออกของจีนไปยังกลุ่มอาเซียนส่งผลดีต่อ RCL โดยเชื่อว่า RCL เป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน โดยคาดว่าจะมาจากความตึงเครียดทางการค้าและภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ส่งผลให้จีนส่งออกสินค้าไปยังตลาดอาเซียนมากขึ้นเพื่อชดเชย หลังจากในช่วง 11 เดือนแรกของปี 67 ยอดส่งออกของจีนไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน ซึ่งสูงกว่าการเติบโต 5% อย่างมากในยอดส่งออกทั้งหมด เส้นทาง CCFI ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำผลงานดีกว่าดัชนีโดยรวม 52% ในช่วงปี 66-67

ดังนั้น จึงเป็นผลให้คาดว่า เรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จะมีอุปทานล้นตลาดในปี 68 จึงมองว่าอัตราค่าระวางเรือในปี 68 จะยังคงมีแนวโน้มลดลง จากอุปทานส่วนเกินของเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่มีมากขึ้น ตามรายงานของ BIMCO ในเดือน ธ.ค.68 คาดว่า ในปี 67 ความต้องการในการขนส่งคาดว่าจะเติบโตขึ้น 18-19% ในขณะที่อุปทานคาดเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าที่ 12% อย่างไรก็ตาม ความต้องการคาดว่าจะเติบโตเพียง 3-4% ในปี 68 ขณะที่อุปทานจะเติบโตที่ 5.8%

ส่วนความเสี่ยงที่อัตราค่าระวางสินค้าจะกลับมาสู่ระดับปกติจากการหยุดชะงักของเส้นทาง นั้นเชื่อว่าจะมี downside risk ต่ออัตราค่าระวางเรือและความต้องการตู้คอนเทนเนอร์ หากการดำเนินการของคลองสุเอซ กลับมาเป็นปกติ โดย ณ ปัจจุบันปริมาณการขนส่งทางเรือรายวันผ่านคลองสุเอซอยู่ที่ประมาณ 40% ของระดับปกติ โดย BIMCO คาดว่าหากเป็นดังกล่าวความต้องการเรืออาจเปลี่ยนจากการเติบโต 3-4% ในปี 68 เป็นลดลง 5-6%


ขณะที่ตั้งแต่เดือน ม.ค. 68 อิสราเอลและฮามาสได้ตกลงหยุดยิง ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดในคลองสุเอซ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบจะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าเกิดขึ้นทันที เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่ข้อตกลงการหยุดยิงอาจถูกระงับลงในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า

ทำให้แนะนำ “ถือ” Target Price 25.75 บาท โดยเชื่อว่า RCL น่าจะซื้อขายต่ำกว่าคู่แข่งทั่วโลก เนื่องจาก RCL มีความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าในแง่ของอายุ ขนาด และเครือข่ายของเรือ

สำหรับสถานการณ์ค่าระวางเรือในปัจุบัน พบว่าดัชนี CCFI ลดลงเล็กน้อย WoW เนื่องจากการผลิตชะลอตัวในช่วงวันหยุดปีใหม่ แม้ว่าดัชนี BDI เพิ่มขึ้นแต่ Handysize และ Supramax ลดลง WoW ทำให้มีมุมมองที่เป็นลบเล็กน้อยต่อ RCL และ PSL ตามค่าระวางเรือที่ลดลง ขณะที่ในไตรมาส 4 ปี67 ดัชนี CCFI และ BDI ลดลง 9%และ 24% เทียบไตรมาสก่อนตามลำดับ

ทั้งนี้ อัตราค่าระวางเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ลดลง หลังจาก ดัชนี Shanghai Containerized Index (SCFI) เพิ่มขึ้น 2% WoW เป็น 2,505จุด ขณะเดียวกัน ดัชนี China Containerized Southeast Asia (CCFI: SEA) ลดลง 1% WoW มาอยู่ที่ 1,293 จุด เนื่องจากภาคการผลิตชะลอตัวในช่วงวันหยุดปีใหม่ ขณะที่ในใตรมาส 4/2567 ดัชนี CCFI ลดลง 9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3ปี 67 ซึ่งเกิดจากอุปสงค์การค้าที่อ่อนตัวลง ทำให้คาดว่าอัตราค่าระวางเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จะลดลงต่อไป เนื่องจากกิจกรรมการผลิตชะลอตัวก่อนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน

ส่วนดัชนีค่าระวางเรือเทกองฟื้นตัว โดยดัชนีค่าระวางเรือ Baltic Dry Index (BDI) เพิ่มขึ้น 3% WoW เป็น 1,029จุด โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของดัชนี Capesize หลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามดัชนี Baltic Handysize และ Supramax ซึ่ง PSL ดำเนินการอยู่ ลดลง 3%% WoW เนื่องจากกิจกรรมการขนส่งลดลงในช่วงวันหยุดโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและซีเมนต์

ขณะที่ในไตรมาส 4ปี67 ดัชนี BDI ลดลง 24% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี67สะท้อนถึงจำนวนเรือที่แล่นผ่านคลองปานามามากขึ้น และอุปสงค์จากจีนที่ลดลง ทำให้คาดว่าดัชนี BDI จะลดลงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากกิจกรรมการผลิตชะลอตัวลงก่อนช่วงวันหยุดตรุษจีน


กำลังโหลดความคิดเห็น