ตลาดหุ้นไทยปี2568 น่าเป็นห่วง ถูกแรงเทขายกดดันดัชนีต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานที่เคยเป็นที่นิยมของนักลงทุน ในภาพรวมไม่ค่อยสดใสมากนัก หลายหุ้นบิ๊กแคปมีอัตราผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68ติดลบกันหนัก โดยคัดเลือกจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีมาร์เก็ตแคปล่าสุดเกิน 1หมื่นล้านบาทขึ้นไป และมีผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปีติดลบมากที่สุด 10 อันดับ
1.BGRIM บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -33.33%,ผลตอบแทนราคารอบ 5วันคือ -14.47%,ผลตอบแทนราคาYTDปี 67 คือ-28.44%, ผลตอบแทนราคาYTDปี66 คือ -31.45%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 13.00 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 30.00 / 12.30 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 33,889.70 ล้านบาท, ค่า P/E 27.48 เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 2.77%, UBS AG HONG KONG BRANCHถือใหญ่สุด 23.24% นาย ฮาราลด์ ลิงค์ 15.25%,สำนักงานประกันสังคม 1.24%
โบรกฯ คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 1/68 อยู่ที่ระดับ 400 ล้านบาทบวกลบ ทรงตัวหรือเติบโตเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หรือ QoQ แม้ได้รับผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวด ม.ค.-เม.ย. 2568 ลงเป็น 4.15 บาทต่อหน่วย และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 330-340 บาท/MMBtu ตามราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ ส่วนผลดำเนินงานไตรมาส 4/67 ของ BGRIM คาดจะมีกำไรปกติที่ 387 ล้านบาท ลดลง QoQ และทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
2.BSRC บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -32.70%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วัน ไม่เปลี่ยนแปลง,ผลตอบแทนราคาYTDปี 67 คือ -6.47%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -32.54%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 5.35 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 10.60 / 4.98 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 18,515.59 ล้านบาท, ค่า P/E - เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 4.67%,บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 78.97%
BSRC ประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งใหม่ จำนวน 8,000 ล้านบาท โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลามเกินกว่าเป้าหมายของบริษัทฯ ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อ BSRC โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ "A+"
3.EA บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -31.31%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วันคือ -12.26%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ -87.04%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -54.38%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 2.72 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 28.66 / 2.14 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 20,200.58 ล้านบาท, ค่าP/E 6.70 เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 5.51%,UBS AG SINGAPORE BRANCH ถือใหญ่สุด 20.74%, น.ส. พลอยส่องแสง นพรัมภา 1.18%,น.ส. สุภาภรณ์ อาหุนัย 0.75%
“น้ำตาลราชบุรี” เทขายหุ้น EA ออกมากว่า 2.5583% ให้กับ “สุนทร อรุณานนท์ชัย” เหลือถือ 2.5583% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการดังนั้นส่งผลให้ นายสุนทร หลังทำรายการขึ้นแท่นมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6
4.GPSC บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -28.76%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วันคือ -11.33%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ -21.13%, ผลตอบแทนราคาYTDปี 66 คือ -33.56%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 27.25 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 56.50 / 25.75 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 76,837.63 ล้านบาท, ค่าP/E 21.70 เท่า, อัตราเงินปันผลYTD ปี 68 คือ 2.72%, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 47.27%,สำนักงานประกันสังคม 1.56%,กองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ 0.45%
โบรกฯคาดไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 (4Q67) จะเป็นช่วงที่ดี โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 898 ล้านบาท เติบโต 88% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)ปัจจัยที่หนุนผลการดำเนินงานมาจาก แหล่งพลังงานดำเนินการดีขึ้น โรงไฟฟ้า SPP มีอัตรากำไรของ SPP แข็งแกร่งขึ้นในช่วงนี้ อีกทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) มีการปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณน้ำที่เพียงพอ
5.WHAUP บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -28.22%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วัน คือ -10.82%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ 22.34%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -3.90%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 3.46 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 5.50 / 3.16 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 13,234.50 ล้านบาท, ค่าP/E 10.46 เท่า, อัตราเงินปันผลYTD ปี 68 คือ 7.30%, บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 70.45%
บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนที่ 29,000 ล้านบาท สำหรับรองรับการลงทุนขยายธุรกิจทั้งด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน โดยวางแผนสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติให้เติบโต 2.5 เท่าจากปี 2567 และตั้งเป้าหมายมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรปกติของบริษัทฯ รวม 5 ปีข้างหน้าที่ 35,000 ล้านบาท รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50%
6.SPRC บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -22.14%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วัน คือ -3.77%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ -20.61%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -22.90%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 5.10 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 9.40 / 4.92 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 22,113.10 ล้านบาท, ค่าP/E - เท่า, อัตราเงินปันผลYTD ปี 68 คือ -%, CHEVRON SOUTH ASIA HOLDINGS PTE LTDถือใหญ่สุด 60.56%
โบรกฯคาดได้รับอานิสงง์จากกรณีประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร โดยกำหนดให้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% จะเป็นปัจจัยต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจากผลกระทบต่อกระแสการค้าน้ำมันโลก
7.BANPU บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -21.00%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วัน คือ -5.20%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ -11.76%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -50.36%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 4.74 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 7.50 / 4.38 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 47,489.60 ล้านบาท, ค่าP/E 101.76 เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 8.67%, บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัดถือใหญ่สุด 8.26%,เสี่ยยักษ์ นาย วิชัย วชิรพงศ์ 0.78%,เสี่ยป๋องนาย วัชระ แก้วสว่าง 0.52%
โบรกฯคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปกติ Q4/67 พลิกกลับเป็นกำไรปกติได้ ให้นํ้าหนักไปที่การเริ่ม เข้าสู่ช่วงฤดูกาลฤดูหนาวปลายปี จะเป็นบวกต่อความต้องการใช้ถ่านหิน และก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆจนมี DOWNSIDE ที่จํากัดแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับ คาดหวังผลบวกจากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ในช่วงปลายปี แนะนําหาจังหวะเข้า TRADING ช่วงสั้นๆ ราคาเป้าหมาย 6 บ./หุ้น
8.BPP บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -20.83%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วัน คือ -0.58%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ -25.52%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -11.59%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 8.55 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 15.20 / 8.30 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 26,058.11 ล้านบาท, ค่า P/E 10.17 เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 9.36%, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 78.66%
โบรกฯคาดว่ากำไรปกติงวดไตรมาส 4/67 ของ BPP จะอยู่ที่ราว 400-500 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หรือ QoQ ตามปัจจจัยฤดูกาล และการปิดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหงสาที่คาดลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงหน่วยการผลิตไฟฟ้าที่ 1 และ 2 แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ YoY กำไรปกติสามารถฟื้นตัวได้จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ตามต้นทุนถ่านหินจีนที่ปรับตัวลดลง
9.GUNKUL บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -19.30%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วันคือ -7.07%,ผลตอบแทนราคา YTDปี67 คือ-18.57%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -46.67%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 1.84 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 3.16 / 1.75 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 16,343.86 ล้านบาท, ค่า P/E 12.70 เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 3.37%, บริษัท กันกุล กรุ๊พ จำกัด ถือใหญ่สุด 49.07%,นาย สุระ คณิตทวีกุล 1.01%
เป็น1ในหุ้นทีได้รับอานิสงส์จากกระทรวงพลังงาน เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติมาตรการทางภาษี ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปพ่วงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อ 1 มิเตอร์นั้น จะเป็นผลดีที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่จะทำงานได้สะดวก
10.CKP บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 68 คือ -16.25%,ผลตอบแทนราคารอบ 5 วันคือ -7.59%,ผลตอบแทนราคา YTD ปี 67 คือ-1.84%, ผลตอบแทนราคา YTD ปี 66 คือ -28.51%, ณ 7 ก.พ.68 ปิด 2.68 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 4.28 / 2.58 บาท,มาร์เก็ตแคปล่าสุด 21,786.75 ล้านบาท, ค่า P/E 16.18 เท่า, อัตราเงินปันผล YTD ปี 68 คือ 3.17%, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 30.00%
โบรกฯมองกำไรหลักในปี 68 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 25% โดยคาดว่ากำไรหลักในQ1/68 จะได้รับแรงหนุนจากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของทั้ง โรงไฟฟ้าน้ำงึม2 และ ไซยะบุรี ทำให้แตกต่างจากค่าอดีตของไตรมาส 1 มักจะอ่อนแอ นอกจากนี้ ในงวดQ3/68 จะเติบโตสูงตามปกติของฤดูไฮซีซั่น จากปรากฎการณ์ลานีญ่าคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงQ2-Q3/68 แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 3.80 บาท
อย่างไรก็ตาม โบรกฯคาดว่าภาพรวมหุ้นกลุ่มพลังงาน กำไรหลัก Q4/67 จะเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ แต่แนวโน้ม Q1/68 อาจชะลอลง YoY นำโดยกลุ่มโรงกลั่น จากแนวโน้มค่าการกลั่นที่ลดลง ขณะที่ความไม่แน่นอนด้านอุปสงค์พลังงานเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบเศรษฐกิจโลก