นายเฟรดเดอริค นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัย ประจำภูมิภาคเอเชีย ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า ธนาคารเอชเอสบีซี คาดการณ์ว่าจีดีพีของประเทศไทยในปี 2568 จะเติบโตราว 3.3% โดยเป็นอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 2.7% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งแม้จะยังคงฟื้นตัวยังไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว โดยเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะยังคงกลับมา และความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุการณ์เร็วๆ นี้ อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก นอกจากนี้ อานิสงส์จากนโยบาย Digital Wallet น่าจะส่งผลบวกต่อการบริโภคไปอีกราว 6 เดือน รวมถึงอานิสงส์จากการลงทุนจากภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่น่าจะเกิดจะขึ้นในปีนี้ ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็วๆ นี้ จึงยังมีมุมมองว่าจีดีพีของประเทศไทยจะยังเติบโตไปได้ อย่างไรก็ดี ในปี 2569 อัตราการเติบโตของจีดีพีอาจจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าจะลดลงมาที่ราว 2.7% เนื่องจากแรงหนุนของนโยบายกระตุ้นการบริโภคน่าจะแผ่วตัวลง
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก จึงคาดการณ์ได้ว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าภาคการบริโภคจะชะลอลง ดังนั้น การขับเคลื่อนจีดีพีน่าจะต้องอาศัยจากส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการส่งออกซึ่งจำเป็นต้องขยายตลาดใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงและช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีทิศทางที่ดีอยู่
สำหรับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น ในส่วนของประเทศไทยปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในระดับกลางๆ ของการขาดดุลรองจากเวียดนาม โดยไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 5% ของจีดีพี แต่อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากจีนซึ่งถือเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของการปรับขึ้นภาษี และถือเป็นประเทศใหญ่ที่น่าจะมีการตอบโต้กันอย่างเข้มข้นนั้น มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับไทยในระดับสูงพอสมควร
"ในขณะนี้การประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของทรัมป์นั้น เป็นเรื่องยาก เพราะมีความไม่แน่นอนสูง แต่พอประเมินในเบื้องต้นได้ประมาณนี้ หากสหรัฐฯมีการตั้งกำแพงภาษีที่ 10% สำหรับสินค้าจากประเทศจีน อาจไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศจีนมากนัก เนื่องจากมูลค่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ราว 2.5% ของจีดีพี ในขณะที่มูลค่าการส่งออกทั้งหมดอยู่ที่ 12.5% ของจีดีพี โดยคาดว่า หากนโยบายด้านกำแพงภาษีเกิดขึ้นจริง อาจมีผลให้จีดีพีของจีนลดลงราว 0.2-0.3% และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยราว 0.1-0.2% อย่างไรก็ดี ยังยากที่จะคาดเดาจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน แต่มีความเป็นไปที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆ อีกภายในปีนี้"
**แนะหา Niche Market**
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าวประเทศในอาเซียน รวมถึงประเทศไทยมีโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากประเทศจีน โดยมีอุตสาหกรรมเด่นๆ คือ อุตสาหรกรรมยานยนต์ รวมถึงยังคงมีโอกาสในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การบริการ บริการด้านการแพทย์ และการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทยอยู่แล้ว และเพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดในการลงทุน ไทยควรเน้นการพัฒนาขีดความสามารถในภาคอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนด้านการส่งออก เช่น ยานยนต์ โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า เคมี เกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรพื้นฐาน แปรรูป และสินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป โดยเฉพาะในบริบทที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และส่งผลต่อการชะลอตัวของการบริโภค การเพิ่มความหลากหลายในด้านการส่งออกจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของไทย ขณะที่ทิศเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทไทยน่าจะเป็นอานิสงส์ต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยอีกด้วย
"สิ่งทื่ประเทศไทยควรหันมาให้ความสนใจคือ การขยายตลาดไปสู่ส่วนอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคต ในขณะเดียวกันต้องจะต้องหาจุดแข็งของตัวเองให้เจอ หา Niche Market ของตัวเองให้ได้ ซึ่งในด้านของบริการ บริการด้านการแพทย์ การท่องเที่ยวนั้นเป็นจุดแข็งของไทยอยู่แล้ว ส่วนสินค้าเกษตร หรือสินเกษตรแปรรูป-อาหาร ก็ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน
**ชี้โอกาสเป็น Financial Hub ยังมีข้อจำกัด**
สำหรับโอกาสความสำเร็จของประเทศไทยจากการมี พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงินนั้น (Financial Hub)นายเฟรดเดอริค นอยแมนน์กล่าวว่า ยังมีคำถามว่าการเป็น Fin Hub จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน แต่การที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางด้านการเงินได้นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเรื่องกฎเกณฑ์ที่เอื้ออำนวย ต้องคำนึงถึงทรัพยากรบุคคลที่เพียงพอ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จึงมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง ไทยจึงต้องมองหาวิธีการดึงดูดแรงงานจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนต่อการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ตั้งต้นมาตั้งแต่ภาคการศึกษาของไทย กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะเอื้อในการดึงแรงงานต่างชาติทักษะสูงมาทำงาน เครือข่ายสาธารณูปโภคที่จะรองรับ ดังนั้น สิ่งที่ไทยควรมองหา คือการหาตลาดเฉพาะทางในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น ตลาดตราสาร การบริหารจัดการกองทุน การค้า เป็นต้น