นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (5 ก.พ.) ที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.60-33.87 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังว่า ผู้นำจีนกับสหรัฐฯ จะมีการเจรจาในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามการค้า หลังสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีน ส่วนทางการจีนล่าสุดได้ประกาศมาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าวเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส และนอกเหนือจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทั้งยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ที่หดตัว -0.9%m/m ส่วนยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) อยู่ที่ระดับ 7.6 ล้านตำแหน่ง ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าและแย่กว่าคาดพอสมควร ซึ่งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว มีส่วนหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์และช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนมกราคม รวมถึงยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งอาจพอช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ภายใต้ความผันผวนของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0
ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ผ่านรายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการบริการ เดือนมกราคม
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า (รอจับตาว่า ทางการสหรัฐฯ จะมีการเจรจากับทางการจีน จนอาจนำไปสู่การชะลอมาตรการเก็บภาษีนำเข้าได้หรือไม่) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัวในกรอบ Sideways หากประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.10 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทได้รับอานิสงส์จากการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำพอสมควร ซึ่งปัจจุบัน หากประเมินในเชิงเทคนิคัล ราคาทองคำเสี่ยงที่จะมีจังหวะย่อตัวลงมาบ้าง โดยการปรับตัวลงของราคาทองคำอาจถูกเร่งได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ในช่วงนี้ ทั้ง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ รวมถึงข้อมูลการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด
อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า ตลาดการเงินยังเสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility ขึ้นกับความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งในช่วงระยะสั้น อาจต้องจับตาท่าทีของทางการสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรป ที่อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแนวโน้มการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอเก็บภาษีนำเข้าที่ได้ประกาศไปล่าสุด โดยภาพดังกล่าวอาจหนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่งผลดีต่อบรรดาสกุลเงินเอเชียได้ไม่ยาก แต่เรายังไม่ได้มีความหวังต่อการรีบกลับมาเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มากนัก และคงมุมมองเดิมว่า ต้องระวังแนวโน้มที่สหรัฐฯ อาจเดินหน้าทยอยขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีน ทว่าสิ่งที่อาจพอเป็นไปได้ คือ การปรับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ โดยอาจยกเว้นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง Smartphone เนื่องจากการประกาศมาตรการภาษีล่าสุดจะกระทบต่อบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Apple ได้พอสมควร
อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ อย่างยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนโดยเฉลี่ยเกือบ +/-0.20% ภายในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว