“บัตรกรุงไทย” ผลประกอบการเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ตั้งเป้ายอดสินเชื่อขยายตัว โบรกฯ ประเมินราคาสูงเกิน แถม ROE อยู่ในช่างขาลง คาดเงินทุ่มอุดหนี้เสียลด หนุนปี 68 เบาใจ ภาพรวมราคายังแรงเกินแนวต้าน
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) รายงานถึง ภาพรวมอุตสาหกรรมว่า แม้ว่าภาพรวมธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคจะชะลอตัวลงจากสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่การดำเนินธุรกิจของ KTC ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-พฤศจิกายน 2567) ยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566
โดยสัดส่วนปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 13.0% เพิ่มขึ้นจาก 12.1% ในขณะที่สัดส่วนลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 15.0% จาก 14.7% และสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 6.6% จาก 6.3%
นั่นทำให้ KTC และกลุ่มบริษัทยังคงสร้างผลกำไรในปี 2567 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 7,437 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่า 111,162 ล้านบาท ลดลง 1.1%
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทยังคงเน้นการเติบโตมูลค่าพอร์ตควบคู่ไปกับการคัดกรองคุณภาพภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยพอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตหดตัว 0.7% เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจที่มีส่วนให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ขณะที่พอร์ตสินเชื่อบุคคลขยายตัวที่ 1.1% จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน”
ขณะที่ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำที่ 1.95% บรรลุตามกรอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ ≤ 2% อัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในปี 2567 อยู่ที่ 10.1% โตกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เป็นผลจากการจัดกิจกรรมการตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการสมาชิก
ปัจจุบัน บริษัทมีฐานสมาชิกรวม 3,488,156 บัญชี โดยแบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,799,301 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 73,954 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในปี 2567 เท่ากับ 292,146 ล้านบาท NPL Ratio บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.25% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลรวม 688,855 บัญชี คิดเป็นเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล และดอกเบี้ยค้างรับรวม 35,096 ล้านบาท
ส่วนหนึ่งเป็นยอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,015 ล้านบาท NPL Ratio สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.46% สำหรับสินเชื่อลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามูลค่า 2,112 ล้านบาท โดยบริษัทได้หยุดการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ปัจจุบันมุ่งเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่
ทั้งนี้ KTC รายงานว่าในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 27,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% จากปี 2566 จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียม รวมถึงหนี้สูญได้รับคืนที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 18,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% จากค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยหลักๆ เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมจ่ายที่สูงขึ้นตามปริมาณธุรกรรมที่ขยายตัว
สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เพิ่มขึ้น 14.7% จากปี 2566 เป็นผลจากการตัดหนี้สูญที่เร็วขึ้นตามนโยบายการตัดหนี้สูญใหม่ และการตั้งสำรองสูงขึ้นตามหลักความระมัดระวัง นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% จาก 2.6% ในปี 2566 เนื่องจากมีหุ้นกู้บางส่วนครบกำหนด
โดย KTC มีการออกหุ้นกู้ใหม่ด้วยอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นกว่าในอดีต เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนเงินให้สินเชื่อสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 14.5% ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 14.8% ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปี 2567 เท่ากับ 12.9% ลดลงจากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 13.2%
สำหรับส่วนของแหล่งเงินทุน ข้อมูลเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 62,336 ล้านบาท (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) แบ่งสัดส่วนโครงสร้างแหล่งเงินทุนเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) 37% และเงินกู้ยืมระยะยาว 63% โดยแบ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทยและบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน จำนวน 5,119 ล้านบาท สถาบันการเงินอื่น 5,000 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงไทย 9,500 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 42,290 ล้านบาท อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.78 เท่า ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 2.15 เท่า ต่ำกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 10 เท่า
ยกระดับองค์กรสู่ดิจิทัล
และจากผลดำเนินงานล่าสุด ทำให้ นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC ประกาศตั้งเป้าปี 2568 ยกระดับองค์กรสู่ดิจิทัลอย่างยั่งยืน ภายใต้แผนกลยุทธ์ “Building a Sustainable Future Through Digital Transformation” ด้วยการเสริมประสิทธิภาพระบบไอทีและโครงสร้างการทำงานเชิงลึกระหว่างคนกับเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกในหลากหลายมิติ ควบคู่กับการบริหารพอร์ตสินเชื่อรวมให้เติบโต ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ใน 3 ธุรกิจหลัก
นั่นคือ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพราะยังเห็นโอกาสเติบโตจากความต้องการสินเชื่อแต่ละประเภทของผู้บริโภค และที่สำคัญคือการดำเนินธุรกิจให้มีผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง บริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อคุณภาพให้ขยายตัวมากขึ้น ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างเหมาะสม
โดยบริษัทคาดว่าในปี 2568 ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโต 10% พอร์ตสินเชื่อรวมเติบโตประมาณ 4-5% พอร์ตสินเชื่อ “เคทีซี พราว” เติบโต 3% มูลค่าสินเชื่อใหม่ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง บริษัทเชื่อว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
ยอดรูดบัตรเครดิต Q1 พุ่ง
ล่าสุด KTC รายงานทิศทางยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต (Spending) ในไตรมาสที่ 1/2568 มีการเร่งตัวขึ้นจากมาตรการ Easy E-Receipt ประกอบการช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้คาดว่าเดือนมกราคมยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะเติบโตขึ้นที่ระดับ 10%
รวมถึงคาดว่าจะมีการเร่งใช้จ่ายอีกครั้งในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ก่อนหมดมาตรการ Easy E-Receipt ขณะที่ไตรมาสที่ 2/2568 จะต้องหาวิธีรักษาการใช้จ่าย โดยจะเน้นไปในด้านการตลาด ที่เป็นช่วงมีการเดินทางท่องเที่ยว มีวันหยุดปิดเทอม
จากตัวเลขที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตในปีนี้จะมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตขึ้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10% หรือเพิ่มประมาณ 30,000 ล้านบาท จากปี 2567 ที่ทำได้ 290,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงปลายปีจะมีการเร่งใช้จ่ายอยู่แล้ว ประกอบการทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น หากยอดผู้สมัครบัตรใหม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 250,000 ใบ จะช่วยทำให้ KTC ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น พร้อมคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไว้ที่ระดับต่ำ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในปี 2568 KTC วางงบลงทุนด้านเทคโนโลยีไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล การทำธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสมาชิกเสมอ
นางวิไลวรรณ นพรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ KTC กล่าวว่า บริษัทวางโรดแมปด้านไอทีสำหรับปี 2568-2569 ในการยกระดับศักยภาพ บุคลากรและระบบสารสนเทศให้ก้าวล้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องของระบบ Core Payment Platform ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ
โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านไอทีชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญสูง เพื่อนำนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับเวิลด์คลาสล่าสุดมาใช้แบบ Total Solutions ในการเสริมสร้างความสามารถด้านการจัดการข้อมูล อีกทั้งช่วยให้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยสูง
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่จะช่วยผลักดัน KTC ให้ก้าวสู่องค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว ยังมีอีก 3 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำควบคู่กันไป คือ 1.Ciizen Developers : สร้างบุคลากรให้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญการทำ Digital Transformation 2.Fusion Team : รวมทีมงานที่เชี่ยวชาญสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์สมาชิก โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ KTC นำมาใช้ในการทำ Digital Transformation คือการสร้าง "Fusion Team" ซึ่งเป็นทีมงานที่รวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสายงานมาทำงานร่วมกัน และ 3.Al - Powered technology : ยกระดับประสบการณ์สมาชิกด้วย AI-Powered technology ซึ่งKTC ได้นำเอา AI-Powered Solutions มาใช้ในการทำงานต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การทำนายผลลัพธ์ ซึ่งสามารถนำมาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ใช้กับธุรกิจได้
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มธุรกิจของ KTC ว่า กำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/67 ออกมาตามคาดที่ 1.9 พันล้านบาท กำไรเติบโตเมื่อเทียบปีก่อน เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวอันเป็นผลบวกจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ขยายตัวเป็น 19.7% และหนี้สูญรับคืนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี กำไรลดลงเทียบไตรมาสก่อน เนื่องจากสำรองหนี้เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
ขณะที่สินเชื่อรวมขยายตัวแข็งแกร่ง 4.7% จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาลที่ปกติจะมีการใช้จ่ายสูงขึ้นในช่วงเทศกาลหยุดท้ายปี แต่ไม่เพียงพอทำให้สินเชื่อในปี 2567 ขยายตัวได้ โดยสินเชื่อรวมหดตัว 1.1% เนื่องจากสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อตามสัญญาเช่าซื้อลดลง
ส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้น 5.8% เทียบไตรมาสก่อน รวมถึง NPL ratio รวมทรงตัว 1.95% เพราะฐานสินเชื่อขยายตัว และสำรองหนี้ต่อหนี้เสีย (Coverage ratio) ลดลง 369.3%
กำไรสุทธิโตชะลอตัว ROE ขาลง
ขณะที่ภาพรวมกำไรปี 2567 แม้กำไรจะเติบโตตามเป้าหมาย แต่เป็น 2 ปีติดต่อกันที่กำไรเติบโตต่ำ กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 7.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% เทียบปีก่อน หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น และหนี้สูญรับคืนเพิ่มขึ้น
สำหรับเป้าหมายในปี 2568 ประกอบด้วยกำไรเพิ่มขึ้นจากปี 2567 รวมถึงสินเชื่อรวมโต 4-5% แบ่งเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต +10% สินเชื่อบุคคล +3% สินเชื่อใหม่ของพี่เบิ้มขยายตัว 3 พันล้านบาท และ NPL ratio ≤ 2%
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเปราะบางและไม่ทั่วถึง กอปรกับหนี้ครัวเรือนสูงเกือบ 90% ของจีดีพีไทย ทำให้การขยายสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมายยังเป็นสิ่งท้าทาย โดยไม่คิดว่ามาตรการรัฐ เช่น E-Receipt และการแจกเงินคนละ 10,000 บาท จะกระตุ้นการขยายตัวของสินเชื่อได้มากนัก ทำให้คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 2.6-2.7% ทำให้คาดกำไรสุทธิจะโตต่ำเพียง 2.3-3.2% ในปี 2568 และปี 2569
ขณะที่ ROE มีแนวโน้มขาลงต่อเนื่องที่ 18.1% - 17% ในปี 2568-2569 สะท้อนความสามารถการทำกำไรที่อ่อนแอลง นำไปสู่ปรับคำแนะนำเป็น “ขาย” จาก “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 45.00 บาท/หุ้น
เร่งตั้งสํารองบริหารจัดการสินทรัพย์
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินแนวโน้มธุรกิจ KTC ว่า บริษัทรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 4 ปี 67 จำนวน 1,889 ล้านบาท โต 7.3% จากปีก่อน แต่ลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด แม้มีประเด็นบวกจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยโต 0.7% และ 3.7% เทียบไตรมาสก่อนตามลำดับ หลังสินเชื่อรวมกลับมาเร่งตัวขึ้น 4.7% จากปีก่อน (สินเชื่อบัตรเครดิตโต 7% สินเชื่อส่วนบุคคลโต 5.1%) เพราะเป็นช่วงที่พันธมิตรร้านค้ามีการจัดโปรโมชันด้านราคาเพื่อผลักดันยอดขายจำนวนมากทำให้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและการขอสินเชื่อส่วนบุคคลสูงขึ้น ประกอบกับความต้องการสินเชื่อจำนำทะเบียนเพิ่มขึ้นในช่วงที่ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดสำหรับการปล่อยสินเชื่อใหม่
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกดังกล่าวไม่พอที่จะชดเชยแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น 10.3% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น Credit Cost ที่เพิ่มขึ้นจาก 6.1% ใน ไตรมาส 3 ปี 67 เป็น 6.5% สอดรับกับ NPL ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.92% ในไตรมาสดังกล่าว เป็น 1.94% ทำให้ทั้งปี 2567 KTC มีกำไรสุทธิ 7,437 ล้านบาท โต 1.9% จากปีก่อน
ส่วนมุมมองปี 2568 คาดบริษัทจะกลับมามีการขยายตัวของสินเชื่อที่สดใสมากขึ้น หนุนจาก Sentiment การบริโภคในประเทศที่ได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐช่วยหนุนความต้องการสินเชื่อเพื่อการบริโภคทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล บวกกับสินเชื่อจำนำทะเบียนภายใต้แบรนด์ “พี่เบิ้ม” เริ่มมีการปรับรูปแบบการให้บริการและอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งมากขึ้น ทำให้คาดจะเริ่มขยายสินเชื่อได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการผ่านเครือข่ายของ KTB
สำหรับการตั้งสำรองคาดจะเริ่มเห็นทิศทางการชะลอตัวลงหลังเร่งตั้งสำรองและเร่ง Write-Off ลูกหนี้เสี่ยงสูงไปมากแล้วในปี 2567 จึงคาด Credit Cost จะลดลงเหลือ 5% จาก 6.1% ในปี 2567 หนุนให้คาดทั้งปี 2568 KTC จะมีกำไรสุทธิ 8,171ล้านบาท โต 9.9% เทียบปีก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้คาดผลดำเนินงานของ KTC ยังสามารถเติบโตได้ในปี 2568 แต่ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ค่อนข้างจำกัดเทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2568 เดิมที่ 53 บาท จึงคงคำแนะนำเพียง “TRADING” และมองว่าหุ้นสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ซื้อขายด้วย PBV ที่ต่ำกว่าอย่าง AEONTS มีความน่าสนใจมากกว่า