หุ้นขนาดเล็กทรุดลงทั้งแผง จากผลกระทบวิกฤตการบังคับขาย และหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวกำลังเจอวิกฤตจากข่าวที่พุ่งเข้ากระทบ โดยบริษัท ซี.พี.ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เป็นหุ้นขนาดใหญ่ตัวล่าสุดที่ถูกข่าวพุ่งกระทบจนเกิดการทุบขาย จนราคาดิ่งลงแรง
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เป็นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ตัวแรก ซึ่งเกิดผลกระทบจากโครงการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันพลังงานสะอาด หรือโครงการ SFP มูลค่าประมาณ 1.3 แสนล้านบาท แต่เกิดปัญหาล่าสุด และต้องเพิ่มเงินลงทุนอีกประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
ราคาหุ้น TOP ที่เคยยืนอยู่แถว 60 บาท ดิ่งลงต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทุกสำนัก ปรับลดราคาเป้าหมายหุ้นลง ล่าสุด TOP ลงมาปิดที่ 26 บาท
ตามมาด้วย บริษัท ซีพี เอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ซึ่งนำเงินจำนวนกว่า 8,000 ล้านบาท เข้าลงทุนในโครงการ ฟอเรส เทียร์ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ย่านถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 และถูกโจมตีว่า เป็นธุรกรรมที่เกี่ยวโยงกัน
เพราะเจ้าของโครงการฟอเรสเทียร์ เป็นทายาทของกลุ่มเจียรวรานนท์
การนำเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปลงทุนในโครงการฟอเรส เทียร์ ทำให้สมาคมบริษัทจดการลงทุนต้องเรียกประชุมด่วน เพื่อพิจารณาว่าการลงทุนมีความโปร่งใสและเข้าข่ายรายการเกี่ยวโยงกันหรือไม่
ส่วนราคาหุ้นถูกถล่มขาย จนราคาร่วงแรง โดยหุ้น CPALL ถูกหางเลขถูกเทขายไปด้วย แต่หลังจากนั้นราคาทรงตัวขึ้นมาได้ โดยล่าสุด CPALL ปิดที่ 26.75 บาท
หุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ต้องได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษี GLOBAL MINIMUM TAX ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลกำไรบริษัทลดลง จนเกิดการเทขายหุ้น
นอกจากนั้น ยังได้รับผลกระทบซ้ำเติมจาก AI ตัวใหม่ DEEP SEEK ซึ่งจีนพัฒนาขึ้น โดยใช้เงินลงทุนน้อยมาก จนทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สั่นสะเทือน
ราคาหุ้น DELTA ที่เคยยืนอยู่ที่ 156.50 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ล่าสุดลงมาปิดที่ 126 บาท
จบท้ายวิกฤตหุ้นใหญ่ด้วยหุ้น CPALL ซึ่งมีข่าวว่า เจ้าของเซเว่น อีเลฟเว่นญี่ปุ่น เจรจากับกลุ่มซีพี เพื่อร่วมลงทุนซื้อหุ้นเซฟเว่น อีเลฟเว่นในประเทศไทยคืน มูลค่านับแสนล้านบาท เพื่อรับมือการรุกครอบงำกิจการบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศแคนาดา
ราคาหุ้น CPALL ถูกถล่มขายทันที โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ราคาปิดที่ 52 บาท ทรุดลง 4.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 9,707.75 ล้านบาท
การถล่มขายหุ้น CPALL จนราคาร่วงแรง ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยจุดชนวนการเทขายหุ้นตัวอื่นตามมา จนดัชนีหุ้นผันผวน ก่อนลงมาปิดที่ 1,314.50 จุด ลดลง 21.14 จุด
หุ้นขนาดใหญ่ทั้ง 4 บริษัท ซึ่งถูกผลกระทบจากข่าวที่เป็นด้านลบ ไม่เพียงทำให้หุ้นแต่ละตัวถูกเทขายจนร่วงแรงเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และกระทบบรรยากาศการลงทุนโดยรวม
ดัชนีหุ้นที่ลงมาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในระดับ 1,314 จุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ 4 หุ้นขนาดใหญ่ฉุดลงมาด้วย
ยังไม่รู้ว่าจะมีหุ้นขนาดใหญ่ตัวไหนมีข่าวร้ายกระทบ จนเกิดการทุบขายตามมาอีกหรือไม่
แต่ดัชนีหุ้นที่ถูกฉุดลงมาระดับ 1,314 จุด ทำให้นักลงทุนกังวลว่า รอบนี้ 1,300 จุดคงเอาไม่อยู่