"แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" ประเมินเศรษฐกิจปี68 ยังเติบโตได้ บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมาก เม็ดเงินจากงบประมาณรัฐที่ใส่มาเต็มที่ แต่ภาคส่งออกยังต้องติดตาม แบงก์ยังกังวลหนี้เสียภาคอสังหาฯ เข้มปล่อยสินเชื่อ เตือนผู้ประกอบการต้องรักษาสภาพคล่อง ระวังการลงทุนทำโครงการ เดินหน้าต่อ ลดขนาดองค์กร คาดปีนี้ ไม่เร่งโหมลงทุนเปิดโปรเจกต์ใหม่ วางแผนไว้แค่ 4 โครงการใหม่ มูลค่า 11,180 ล้านบาท ลดลงถึง 64% แจงสินค้าในพอร์ตเพียงพอบริหาร 75 โครงการ มูลค่า 93,000 ล้านบาท รันธุรกิจได้สบาย พร้อมขยับเพิ่มพอร์ตธุรกิจโรงแรม เม.ย.อวดโฉม Grande Centre Point ลุมพินี มิกซ์ยูสใหม่
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH อสังหาฯรายใหญ่ ที่มีขนาดของสินทรัพย์สูงถึง 1.43 แสนล้านบาท (ตัวเลข 9 เดือนปี 67) มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดกว่า 58,000 ล้านบาท (ตัวเลข 21 ม.ค. 68) เปิดเผยถึงความท้าทายที่มีต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ว่า น่าจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นราว 2.9% และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจจะมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่ในปีนี้ งบประมาณจะมาเต็มที่ และภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น แม้ภาคการส่งออกยังชะลอตัว อาจกดดันให้เศรษฐกิจเติบโตไม่สูงมากนัก และความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ยังได้รับแรงกดันจากยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ปรับสูงขึ้น และปฎิเสธไม่ได้ เรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
"ปัญหาภาคอสังหาฯปีนี้ ต่างจากช่วงวิกฤตปี 40 ตอนนั้น ภาคอสังหาฯเจอโรคหัวใจ พอปั๊มแล้วก็ฟื้นได้ แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจซึมต่อเนื่อง และความมั่นใจยังไม่กลับมา ซึ่งเรามองเห็นปัญหามาก่อน จึงทำให้องค์กรของเรา มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้มีความเหมาะสม โดยช่วงที่ผ่านมา เราไปใส่ในธุรกิจโรงแรมมากกว่าหมื่นล้านบาท ได้ Capital Gains ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ"
และจากสภาพตลาดอสังหาฯที่ยังชะลอตัว ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่อง ระมัดระวังใช้เงินทุนในการพัฒนาโครงการ ทำให้บริษัท ไม่ได้รุกการเปิดโครงการใหม่มาก ซึ่งโครงการใหม่ลดลงจากเดิมเคยเปิด 12 โครงการในปีที่แล้ว มาเปิดเพียง 4 โครงการในปีนี้ ด้วยมูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลง 64% เมื่อเทียบกับปีก่อน โครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ โดยจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8 – 15 ล้านบาท คือ Siwalee และแบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 30 - 80 ล้านบาท คือ Nantawan และ VIVE ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสินค้าในระดับกลาง-บน หรือทดแทนโครงการที่ขายหมดในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น เมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 68 จะรวมมีทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่าประมาณ 93,000 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 69 โครงการ มูลค่าประมาณ 79,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ากว่า 13,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2568 ประมาณ 10.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.8 ล้านบาทในปีก่อน
"สินค้าที่เรามีอยู่ เพียงพอรันธุรกิจไปอีกหลายปี และยังไม่มีโลเคชั่นใหม่ๆที่จะเปิด ซึ่งปัจจุบัน เรายังมีแลนด์แบงก์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาท อยู่ในโลเคชั่นกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ ต่างจังหวัดไม่มาก"
ขณะที่ปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวในปี 68 ที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเดินหน้าเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มขึ้น เปิดโรงแรม Grande Centre Point ลุมพินี ในเดือนเม.ย.นี้ เป็น Mixed Use ประกอบด้วย พื้นที่สำนักงาน 12,700 ตารางเมตร และโรงแรมขนาด 512 ห้อง พร้อมพื้นที่จัดเลี้ยงที่มากที่สุดในเครือโรงแรม Grande Centre Point เพื่อเป็นปัจจัยหนุนรายได้ธุรกิจอสังหาริมาทรัพย์เพื่อเช่าแตะ 9,240 ล้านบาทในปีนี้
รวมถึงยังมีการลงทุนก่อสร้างโรงแรมใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ Grande Centre Point ราชดำริ 2 ที่เตรียมเปิดในปีหน้า และ Grande Centre Point Pattaya 3 ในปี 2570
นอกจากนี้ บริษัทจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนในสหรัฐ โดยอาจจะลดสัดส่วนของอพาร์ตเมนต์ที่มีอยู่ 3 แห่ง ซึ่งเริ่มมียีลด์ลดลงตามสถานการณ์หลังการแพร่งระบาดโควิด-19 และหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง
สำหรับงบลงทุนของบริษัทในปี 68 วางไว้ที่ 8,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนอสังหาฯเพื่อเช่า 4,500 ล้านบาท พร้อมกับวางแผนออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในปีนี้ 12,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงมาที่ 1 เท่า จากปีก่อนที่ 1.3 เท่า โดยในปีนี้ เรามั่นในการวางเป้ายอดขาย(แบ็กล็อก) ไว้ที่ 23,000 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 20,000 ล้านบาท ซึ่งยอดขายจะมีทั้งส่วนของโครงการแนวราบ และยอดขายโครงการคอนโดฯ วัน เวลา ณ เจ้าพระยา เพิ่มเติมอีก 7,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะมีการโอนฯเต็มที่ในปี 2570 ตัวโครงการมีมูลค่าถึง 15,000 ล้านบาท.