ปัญจวัฒนาพลาสติก เดินเกมรุก ปั้นธุรกิจ New S-curve ย้ำรายได้เพิ่ม 25% พร้อมหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตกว่า 20% เพิ่มเป็น 20-23% จาก 18% รอบ 9 เดือนปี 2567 และ 20% ปี 2566 พร้อมวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ต
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมองหาธุรกิจที่เป็น New S-curve ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทมีธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มบรรจุภัณฑ์ 2.กลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 3.กลุ่มธุรกิจ Healthcare
และด้วยธุรกิจ New S-curve ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทประเมินภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 มีทิศทางเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20% จาก 18% เป็น 20-23% เป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) อย่างกลุ่มธุรกิจ Healthcare ประกอบด้วย 2 กลุ่มธุรกิจที่บริษัทได้มีการลงทุนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1.กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม และ 2.กลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์
โดยทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าวเริ่มสร้างรายได้ให้บริษัท ผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2569 ส่งผลให้ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง มีอัตราการเติบโตสูง มีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคงของรายได้ ซึ่งจะผลักดันให้ภาพรวมของอัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นและรายได้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 นี้ PJW จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Healthcare อยู่ที่ระดับ 20-25% และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม เนื่องจากบริษัทจะมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น Oxygen Humidifier สายยางสำหรับผู้ป่วยฟอกไตและถุงน้ำยาล้างไตผ่านหน้าท้อง เป็นต้น
กลุ่มงานบริการซักผ้าอุตสาหกรรม ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลพระราม 9 โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้กว่า 20% ในปี 2568
“ในปี 2568 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่ม Healthcare อยู่ในระดับที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจเดิม (กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์) หรืออยู่ที่ระดับ 22-25% (จากอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 18-20%)”
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่บริษัทปรับ Portfolio สู่ธุรกิจใหม่ จาก New S-curve ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้เป็นประมาณ 20% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเติบโตขึ้นจากเดิมที่ 18-20% เพิ่มเป็น 20-23% และคาดว่าจะปรับเพิ่มสูงในปีถัดๆ ไป ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม Healthcare ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของบริษัทจะมีเสถียรภาพความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2569 บริษัทยังเตรียมนำสินค้ากลุ่ม Healthcare เจาะตลาดใน ASEAN มากขึ้นด้วย
ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยังเป็นธุรกิจ Cash cow (ยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ) มีการเติบโตต่อเนื่องมาตลอด ส่วนกลุ่มงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2568 ยังไม่แตกต่างจากปี 2567 มากนัก แต่ถือว่า bottom แล้ว แต่ยอดขายจากกลุ่มยานยนต์ของ PJW จะกลับมาดีขึ้นอย่างมากในปี 2569 จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจาก backlog ที่มีอยู่ของ new model ต่างๆ ที่จะเปิดตัวในปี 2569 โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแม่พิมพ์เพิ่มเติมสำหรับการขายในปี 2569