ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการ 'บ้านเพื่อคนไทย' คิดว่า รัฐมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง รัฐพูดได้ 99 ปี เราพูดไม่ได้ ผมเคยเป็นคนจนมาก่อน ผมเคยทำคอนโดฯ ราคา 5-6 แสนบาท ถ้าเราจะทำเช่า ก็เป็นในรูปแบบ 30 ปี บวก 30 ปี ก็โอเค แต่สถาบันการเงินไม่ค่อยสนับสนุน
"ผมเดินทางไปดูงานต่างๆ ในประเทศอาเซียน ทั้งประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เงื่อนไขต่างๆ ง่ายกว่าเรามาก อย่างเช่นที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีบางโครงการทำตึกสูง 20 กว่าชั้น แต่ที่จอดรถแค่ชั้นเดียว ช่องแคบกว่า และทางเดินหนีไฟก็เล็กกว่า แน่นอนความปลอดภัยก็ด้อยลง แต่เรื่องสวนที่โครงการติดถนนใหญ่ ถ้าเรานึกว่าคนจนจะมาดูแลสวนนั้น ก็คงไม่ เพราะถ้าเทียบกับตอนอยู่สลัม ก็ไม่มีสวน แต่ถ้าให้เขาเดินไปสวนใหญ่ หรือสวนของ กทม.สัก 15 นาที ก็ทำให้โครงการที่จะพัฒนาดูโล่ง และมีเงื่อนไขต่างๆ ถ้าผ่อนลง ก็จะดี อย่างถ้าหน่วยงานของไทยไปดูงานที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็จะเห็น อย่างในอินโดนีเซีย บ้านจัดสรรไม่มีรั้วหน้าบ้าน ไม่ต้อง 40 เมตร เว้นที แต่ปล่อยยาวมากกว่านี้ เราจะเห็นว่าหลายอย่างในโครงการของต่างประเทศจะต่างกัน การจะทำให้บ้านสำหรับคนผู้มีรายได้น้อย หรือรายได้ปานกลางก็ตาม ทำยากจริงๆ อยากช่วย และทำให้ แต่ติดขัดเรื่องพวกนี้" ดร.ประทีป กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเคหะแห่งชาติ (กคช.) น่าจะรับดูในเรื่องของผู้มีรายได้น้อย ส่วนรายได้ปานกลางเป็นภาคเอกชนดูกันไป เราสนใจ ถ้าเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปช่วย เราพร้อมที่จะเข้า แต่ต้องมีการผ่อนเงื่อนไขลง หรือหากจะให้โครงการมีมาตรฐานที่สูง ก็สามารถใช้เรื่องของสิทธิประโยชน์จากบีโอไอเข้ามาสนับสนุน มีมาตรฐาน ต้องเข้าไปหลักเกณฑ์ของการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทศุภาลัยฯ กล่าวว่า บ้านเพื่อคนไทย เป็นแนวคิดที่ดี แต่เซกเมนต์ที่รัฐทำออกมา ณ ตอนนี้ จะเป็นเซกเมนต์ที่ใกล้เคียงกับตลาดอพาร์ตเมนต์ให้เช่า ซึ่งแต่ละโครงการที่ผู้ประกอบการพัฒนาทั่วไป ตอนนี้คงไม่ได้รับผลกระทบเต็มๆ การที่มีการแยกเซกเมนต์เพื่อให้คนอีกกลุ่มมีที่อยู่อาศัยได้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องให้แน่ใจว่า "ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็เป็นการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้"