จากกรณีเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกรณีที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570 โดยธนาคารจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนในครั้งแรกด้วยวงเงิน 7,000 ล้านบาท จำนวนหุ้นซื้อคืนไม่เกิน 3,500,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 3.6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568
โดยนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่อยู่ในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยเมื่อพิจารณาฐานะเงินกองทุนของธนาคารนับตั้งแต่รวมกิจการจะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุน 19.3% ซึ่งสูงอยู่ในระดับเดียวกับธนาคารคู่เทียบ (D-SIBs) และสูงเกินจากเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นโอกาสให้ธนาคารสามารถปรับลดส่วนเกินดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้นได้โดยที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงและแผนธุรกิจของธนาคารในอนาคต อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น จึงเป็นที่มาของโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
ทั้งนี้ ภายหลังการซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ตามการลดลงของมูลค่าทางบัญชีในส่วนของผู้ถือหุ้นและการลดลงของจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับระดับ ROE ในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.0% และ EPS ที่ 0.22 บาท ขณะที่ประเมินว่าอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio : CAR) จะยังคงสูงกว่า 19% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการเติบโตสินเชื่อตามแผนธุรกิจ
บล.ทิสโก้มีมุมมองต่อประเด็นดังกล่าวเป็น 'บวก' โดยมองว่ามีความชัดเจนว่าแผนนี้เป็นบวกต่อหุ้น TTB เนื่องจากให้การสนับสนุนหากราคาหุ้นตกต่ำกว่า 2.0 บาท (ราคาปิดวันที่ 28 ม.ค.68 อยู่ที่ 1.91 บาท) คาดว่า TTB สามารถซื้อหุ้นได้ 3.5 พันล้านหุ้น ตัวหารที่น้อยลงหมายความว่า EPS จะเพิ่มขึ้น 3.5% รวมถึงด้วยนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และเงินทุนที่มีเพียงพอของ TTB โครงการนี้ไม่ควรมีผลกระทบเชิงลบต่องบดุล และ CAR จะยังคงอยู่สูงกว่าข้อกำหนดของทางการ และสอดคล้องกับคู่แข่ง นอกจากนี้ กำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท หักงบซื้อหุ้นคืน 7 พันล้านบาท เหลือ 1.4 หมื่นล้านบาท หรือ 0.14 บาท ในแง่ของ EPS หาก TTB เต็มใจที่จะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นอาจยังเท่ากับปีที่แล้ว (0.055 บาท ทำให้เงินปันผลทั้งปีอยู่ที่ 0.12 บาท) ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของธนาคารสำหรับปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ 0-2%
ดังนั้น บล.ทิสโก้คงคำแนะนำ 'ซื้อ' สำหรับ TTB โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 2.20 บาท
บล.กรุงศรีมีมุมมอง slightly positive ต่อข่าวโครงการซื้อหุ้นคืน จากการที่ได้ประเมินราคาที่ซื้อคืนเฉลี่ยเบื้องต้นที่ 2.0 บาท สูงกว่าราคาตลาดที่ 1.91 บาท รวมทั้งมองว่าไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 คาดที่ 2.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +1% y-y โดยในภาพรวมของ TTB ยังมองเป็นบวก เนื่องจากยังมีผลประโยชน์ทางภาษีเหลือจำนวน 1.06 หมื่นล้านบาท ณ 2567 (สามารถใช้ได้ถึงปี 2571) และการตั้งสำรองน้อยลง คาดช่วยหนุนกำไรสุทธิในช่วง 2568-2569 และปันผลสูง dividend yield คาด 6-7% ต่อปีโดยครึ่งหลังปี 2567 คาดที่ 0.064 บาท/หุ้น (yield ที่ 3.3%) โดยแนะนำ Buy สำหรับ TTB ที่ TP 2.2 บาท
บล.เอเซียพลัสโดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากการซื้อหุ้นคืน เพื่อยกระดับ ROE ภายใต้ราคาหุ้นปัจจุบันซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี เพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ระยะยาวที่มีโอกาสดีขึ้นจากมุมมองเดิม ตามโครงการซื้อหุ้นคืน และความผันผวนของราคาหุ้นลดลงระหว่างดำเนินโครงการ จึงปรับ PBV ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าอยู่ที่ 0.85 เท่า (เดิม 0.8 เท่า) ได้ FV ใหม่ที่ 2.14 บาท (เดิม 2.02 บาท) เพิ่มคำแนะนำจาก NEUTRAL เป็น OUTPERFORM นอกจากการ ซื้อหุ้นคืน ทางพื้นฐานมี TAX SHIELD ช่วยรักษาระดับกำไร ขณะที่ DIV YIELD อยู่ ในระดับ 7% ต่อปี ถือว่าน่าสนใจ
ดังนั้น จึงประเมินราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนเพื่อยกระดับ ROE ภายใต้ราคาหุ้นปัจจุบันซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV ซื้อขาย ราว 0.76 เท่า) ประกอบกับมองว่าการซื้อหุ้นคืนจะช่วยจำกัดขาลงของราคาหุ้นในช่วงดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ภายใต้ Sensitivity Analysis พบว่าทุก 7 พันล้าน บาท ของส่วนผู้ถือหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมมติฐาน จะหนุน ROE ขึ้นจากสมมติฐานปัจจุบันราว 0.1% และเพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ระยะยาวที่มีโอกาสดีขึ้นจากมุมมองเดิม ตามโครงการซื้อหุ้นคืนและความผันผวนของราคาหุ้นลดลงระหว่างดำเนินโครงการ ดังนั้น มูลค่าหุ้น อิงวิธี PBV ปรับเพิ่ม ROE ระยะยาวจาก 8.5% เป็น 8.8% และ COE มาที่ 10.2% จากเดิม 10.4% (ผ่านการปรับลด Beta) ได้ PBV ใหม่ที่ 0.85 เท่า (เดิม 0.80 เท่า) ให้ FV ที่ 2.14 บาท (เทียบเท่า PER ราว 10 เท่า เท่ากับ ค่าเฉลี่ยย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560) จากเดิม 2.02 บาท
พร้อมกันนั้น ได้ปรับคำแนะนำจาก Neutral เป็น Outperform นอกจากการซื้อหุ้นคืน ทางพื้นฐานประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-69 มี Tax shield (คงเหลือ 1.06 หมื่นล้านบาท ใช้ได้ถึงปี 2571) ช่วยรักษาระดับกำไร ขณะที่ Div yield อยู่ในระดับ 7% ต่อปี ถือว่าน่าสนใจ ดังนั้น แนะนำ Outperform สำหรับ TTB ราคาเป้าหมาย 2.14 บาท
ด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ" จากเดิมที่ "ถือ" และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 2.22 บาทจากเดิมที่ 2.00 บาท จากการปรับกำไรและ PBV ขึ้น โดยเรามีมุมมองเป็นบวกจากโครงการซื้อหุ้นคืนถึง 3 ปี จะช่วยหนุนราคาหุ้นได้ในระยะยาวและทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้น ราคาที่จะซื้อหุ้นคืนได้ที่ 2.00 บาท เทียบกับราคาปิดวันที่ 28 ม.ค.68 ที่ 1.91 บาท (upside +4.7%) หลังจากนั้นปี 26-27 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของธนาคาร ทั้งนี้เราทำ sensitivity หากส่วนของผู้ถือหุ้นหายไปทุกๆ 7 พันล้านบาท ROE จะเพิ่มขึ้นได้ +0.2% และราคาเป้าหมายเพิ่มได้ +0.07 บาท ขณะที่ผู้บริหารตั้งเป้า ROE ระยะถัดไปจะอยู่ที่ 10% จากปี 24 ที่ 9%
พร้อมกันนั้น มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2568/2569 เพิ่มขึ้น +5%/+3% จากการปรับ Credit cost ลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับ Guidance ที่ผู้บริหารให้ไว้ทำให้ได้กำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +2% YoY จากส ารองที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่เราคาดว่ากำไร 1Q68 จะเพิ่มขึ้น QoQ จาก OPEX ที่ลดลงตามฤดูกาลและมีการใช้ Digital มากขึ้น
ทั้งนี้ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” สำหรับ TTB ราคาเป้าหมาย 2.22 บาท