นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (28 ม.ค.) ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงหนักจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.70-34.00 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยรีบาวนด์แข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นธีม AI/Semiconductor ท่ามกลางความกังวล AI จากจีน DeepSeek-R1 ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำ เมื่อเทียบกับ AI จากฝั่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ในช่วงเช้าเงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าโดยรัฐบาล Trump 2.0 กดดันให้บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง และนอกเหนือจากการรีบาวนด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม รวมถึงรายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนธันวาคม เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการปรับนโยบายการเงินของเฟด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนักในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้น หรืออย่างน้อยอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.20 บาทต่อดอลลาร์
ส่วนในช่วงระหว่างวันนี้ เรามองว่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงบ้าง ทดสอบโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ หลังในช่วงเช้าที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้า เช่น ชิปคอมพิวเตอร์ Semiconductor และแร่โลหะ เป็นต้น ส่งผลให้บรรดาสกุลเงินหลัก อย่างเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ส่วนในฝั่งเอเชีย เงินหยวนจีน Offshore (CNH) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงพอสมควรเช่นกัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีน Offshore (30-Day Correlation) กว่า 76% ทำให้ต้องจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีนในช่วงนี้ด้วยเช่นกัน
และนอกเหนือจากทิศทางการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก และเงินหยวนจีน เรามองว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินบาทจะขึ้นกับทิศทางราคาทองคำ รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งในกรณีที่เงินบาทสามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้างนั้น เรามองว่า เงินบาทอาจติดอยู่แถวโซนแนวรับ 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ไปก่อนได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุมเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้