“เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์-กาสิโน” จุดกระแสหุ้นไทย คาดช่วยสร้าง New S Curve ใหม่ๆ ให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้น จากเม็ดเงินลงทุนแพร่สะพัด กลุ่มทุนใหญ่ไทยและเทศเล็งเข้าลงทุน หนุนรายได้เข้ารัฐเพิ่ม ตามตัวเลขนักท่องเที่ยวพุ่งสุดโต่ง ยกหุ้นกลุ่มทุนรับสัมปทานได้แรงเก็งกำไร ตามด้วยรับเหมา ท่องเที่ยว สนามบิน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และบริการ พาเหรดราคาหุ้นและผลประกอบการปรับตัว
หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.68 มีมติเห็นชอบหลักการ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอนั้น โดยร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … กำหนดประเภทธุรกิจสถานบันเทิงไว้ 10 ประเภท ได้แก่ 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3.ร้านอาหาร ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ หรือบาร์ 4.สนามกีฬา 5.ยอชต์และครูซซิ่งคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7.สระว่ายน้ำและสวนน้ำ 8.สวนสนุก 9.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และสินค้า OTOP และ 10.กิจการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด
นอกจากนั้น ยังกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมต่าง เช่น ใบอนุญาตครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท ต่ออายุใบอนุญาต ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท ค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย ครั้งละ 5,000 บาท
เรื่องดังกล่าวกลายเป็นที่จับตาของประชาชน รวมถึงนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนต่างประเทศ นั่นเพราะต่างเชื่อว่า นี่จะเป็นโปรเจกต์ที่ช่วยเพิ่มเม็ดให้ไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แม้กระแสการต่อต้านได้เกิดขึ้นมาไม่น้อยหน้าเสียงสนับสนุน โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจกาสิโน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าที่จะเดินหน้าเรื่องนี้ให้ประสบความสำเร็จ
สร้างจริง GDP ขยับตัวเพิ่ม
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ณ ปัจจุบันยังไม่ได้มีผลชัดเจนว่า เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะช่วยสร้างมูลค่าต่อเศรษฐกิจหรือการจ้างงานเท่าไร และรัฐบาลจะเก็บภาษีได้เพิ่มเท่าไร เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้ยังไม่ได้มีการประเมินออกมา แต่เมื่อดูกาสิโนใหญ่ในต่างประเทศ อย่างลาสเวกัส มาเก๊า และสิงคโปร์ ที่เริ่มทำเมื่อปี 2010 ปรากฏว่าปีที่มีการเปิดกาสิโน GDP ขึ้นมาดีมาก รวมไปถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา
โดยโมเดลในการทำเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ จากต่างประเทศพบว่าเวียดนามสร้างรายได้ได้ที่ 1.8 แสนล้านบาท/ปี สิงคโปร์ 4.3 แสนล้านบาท/ปี มาเก๊าได้มากถึง 1.2 ล้านล้านบาท/ปี
ปัจจุบันเศรษฐกิจการขยายตัวเหลือเพียงระดับ 3% หรือบางปีก็ไม่ถึงอย่างในปี 2.5% ทำให้คาดการณ์จะขยายตัวในกรอบ 2.5-2.9% นับว่าต่ำกว่าช่วงก่อนหน้านี้ 5 ปี ที่เศรษฐกิจไทยเคยขยายตัวระดับ 4% เป็นผลให้รัฐบาลต้องพยามหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์) ที่มิได้มีเพียงกาสิโน แต่จะประกอบไปด้วยธุรกิจบันเทิงครบวงจร (สวนสนุก โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว)
ทั้งนี้ จากคาดการณ์ของรัฐบาลเชื่อว่าจะเกิดการลงทุนเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาท และรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.19-2.38 แสนล้านบาท และเป็นอีกปัจจัยหนุนให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแม้จะเป็นช่วง Low Season ก็ตาม (ช่วง มี.ค.-ต.ค.) พร้อมกับจะเร่งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่ 4.4 หมื่นบาท/คน/ทริป เป็น 6.6 หมื่นบาท/คน/ทริป ด้านรัฐบาลนั้นจะเก็บภาษีได้มากขึ้นอีก 1.2-3.9 หมื่นล้านบาท
ชุดแรกกลุ่มทุนกอบโกย
ทั้งนี้ หากพิจารณาประเด็นร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ กับการมีส่วนได้เสียของตลาดหุ้นไทย จะพบว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นความน่าสนใจให้ตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มแรกเชื่อว่าจะเป็น “กลุ่มนักลงทุน หรือกลุ่มทุนที่มีความตั้งใจเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าว
“มันมีความเป็นไปได้หมด เริ่มตั้งแต่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ของประเทศ เช่น กลุ่มซีพี กลุ่มเบียร์ช้าง กลุ่มบีทีเอส กลุ่มก่อสร้างอย่างชิโนไทย หรือกลุ่ม ช.การช่าง รวมไปถึงกลุ่มพลังงานอย่างกลุ่มกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ทุกคนอย่างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนในโครงการนี้ รวมถึงกลุ่มห้างสรรพสินค้า เพราะเชื่อว่ามันจะช่วยต่อยอดธุรกิจ ทำให้เราเชื่อว่าจะมีทั้งการลงทุนเดี่ยว หรือก่อตั้งกิจการร่วมค้าเข้ามาร่วมทุนด้วยกัน ตรงนี้รวมไปถึงกลุ่มทุนจากต่างประเทศ และธุรกิจกาสิโนจากต่างประเทศด้วย”
ภาพรวม หากเรื่องดังกล่าวเริ่มมีความแน่ชัดที่จะเปิดประมูลที่ดินในการก่อสร้าง “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” คาดว่าจะได้เริ่มเห็นกลุ่มทุนที่แสดงความสนใจออกมาประกาศความพร้อมในการลงทุนทั้งรูปแบบเดี่ยวหรือกิจการร่วมค้า ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มทุนเหล่านี้ขยับตัวเพิ่มขึ้น เพื่อรับรู้โอกาสทางธุรกิจไปก่อนหน้าที่จะการเปิดประมูลโครงการ รวมถึงประกาศผลการประมูลล่วงหน้า
แต่จะเป็นหุ้นใดนั้นยังไม่สามารถชี้ชัดได้ เนื่องจากบางกลุ่มทุนมีหลายบริษัทในตลาดหุ้น และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะใช้บริษัทใดเข้ามาลงทุน อีกทั้งต้องไม่ลืมกลุ่มทุนที่ผูกโยง หรือมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองด้วย เพราะกลุ่มทุนเหล่านี้มีตื้นหลักหนาบาง และมีเครดิตหรือน้ำหนักที่จะคว้าโครงการดังกล่าวได้สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดบางข้อของเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์โดยเฉพาะในส่วนของ “กาสิโน” ในเรื่องของค่าเข้าสำหรับนักท่องเที่ยวไทยมีการปรับเพิ่มขึ้นจาก 1,000 บาท เป็น 5,000 บาท จึงทำให้มองว่าอาจจะต้องพึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก และอาจจะไม่สามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวในประเทศได้มากนัก
มีรายงานว่า ที่ผ่านมาจะว่า "กลุ่มทุนใหญ่" หลายรายสนใจ "เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์" อย่างมาก เช่น กลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กลุ่มบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (UTA) บริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บมจ.สเตคอน กรุ๊ป (STECON) กลุ่ม CP กลุ่มเดอะมอลล์ และพราวด์กรุ๊ป เป็นต้น
“ตอนนี้หลายฝ่ายให้น้ำหนัก AWC เป็นหุ้นได้ประโยชน์หลักหากมีการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในไทย เนื่องจาก AWC มีโรงแรมระดับ High-end รวมถึงมีโครงการ Mix-used complex รองรับ และยังได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง”
กลุ่มท่องเที่ยวรับอานิสงส์
ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่จะได้ผลดีทางอ้อมจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มสนามบิน และกลุ่มการบิน นั่นหมายถึงหุ้น AOT และAAV และกลุ่มโรงแรมอย่าง MINT CENTEL ERW รวมไปถึงผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่าง SC SIRI LH AWC กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN เป็นต้น
"ต้องยอมรับว่า เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ หากเกิดขึ้นจริง จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะได้รับประโยชน์จากตรงนี้มากโดยเฉพาะสนามบิน และสายการบิน เนื่องจากมีแลนด์มาร์กใหม่ หรือจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นบวกกับ AOT เช่นเดียวกับ AAV ที่จะได้ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น"
แต่งานนี้ต้องพิจารณา BA ด้วยเนื่องจากจะได้รับอานิสงส์เดียวกับ AAV นอกจากนี้ BA กับกลุ่ม BTS ในการได้สัมปทานสนามบินอู่ตะเภา ถือเป็นอีกหนึ่งในทำเลที่มีโอกาสจัดตั้งเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ได้ เพราะมีการเดินทางที่สะดวก ใกล้สนามบิน และติดทะเล ก็มีโอกาสจะเดินหน้าโครงการนี้ได้ด้วยเช่นกัน
โดยมีการคาดการณ์ว่า หากเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เกิดขึ้นจริงจะส่งผลให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวบินเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นปีละ 20 ล้านคน หรือหากอิงสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากเปิดเสรีกาสิโน ในมาเก๊าและสิงคโปร์ การเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ 1 แห่ง จะหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่มจากฐานก่อนเปิดเฉลี่ย 17% และ 20% ตามลำดับ
ไม่เพียงเท่านี้ กลุ่มที่จะได้ประโยชน์ถัดมาคือกลุ่มค้าปลีก (BJC CPALL GLOBAL DOHOME) เนื่องจากรายได้ของประชาชนที่จะมากขึ้นพร้อมกับการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว ทำให้กำลังซื้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หุ้นไทย-ศก.ได้ New S Curve
ทั้งนี้ การคาดการณ์ถึงหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ สอดคล้องกับมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี มองว่า กระแสความเชื่อมั่นตลาดต่อการดำเนินนโยบายดังกล่าว เพิ่มขึ้น หลังราชตฤณมัยสมาคม ประกาศลงทุนเม็ดเงิน 2.0 แสนล้านบาท โดยหากอิงธุรกิจที่วางในโครงการดังกล่าว เช่น กาสิโนถูกกฎหมาย สนามม้า โรงแรม 6 ดาว สนามกอล์ฟ ยอชต์คลับ ภัตตาคารหรู โรงพยาบาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์การเรียนรู้ รวมถึงกิจกรรมกีฬาและบันเทิงอื่นๆ นั้นประเมินว่าจะมีโครงการขนาดย่อยที่มีจำนวนมาก ภาพยอชต์คลับน่าจะจุดบ่งชี้สถานที่เป้าหมายได้ระดับหนึ่งว่าควรจะเป็นที่ดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำ โดยในส่วนกรุงเทพฯ ปัจจุบันที่ดินเข้าข่าย คือ ท่าเรือคลองเตย ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และรัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้กลไกก่อนที่โครงการจะเกิดขึ้นยังต้องใช้เวลา และอาจมีภาพการลงทุนโครงการ Mixed Use โดยยังไม่รวมโครงการกาสิโนที่รอข้อกฎหมายนำไปก่อน แต่หากมองอนุรักษนิยม การลงทุนก็น่าจะเกิดขึ้นได้
ดังนั้น หากขั้นตอนต่างๆ เดินหน้าต่อเนื่อง มองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อ SET โดยเศรษฐกิจไทยจะมีภาพ New S Curve ใหม่ๆ ต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่ตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อภาพดังกล่าวของประเทศ โดยหากอิงกรณีศึกษาประเทศมาเก๊า ที่เริ่มอนุญาตให้เอกชนลงทุน เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ช่วงปี 2000-01 หลังทยอยสร้างแล้วเสร็จปี 2006-2011 พบว่านักท่องเที่ยวปี 2011 เพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึงราว 49.7% ทำให้เราเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับภาคบริการไทยขึ้นจากจุดสูงสุดในอดีตที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุดในปี 2019 ที่ 39.4 ล้านคน
ส่วนกลุ่มหุ้นจึงให้น้ำหนักจิตวิทยาทางบวกต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1.) หุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ เช่น AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะมอลล์
2.) หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STECON ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
3.) หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ เช่น BBL, KBANK, KTB และ
4.) หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS
ยากระตุ้น ศก.-Set Index
สำหรับทิศทางและโอกาสจาก “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” จากข้อมูลข้างต้นพอที่จะประเมินได้ว่า ในแง่เศรษฐกิจ โครงการดังกล่าวน่าจะช่วยสร้างรายได้ให้รัฐบาลปีละประมาณ 1.2-1.4 แสนล้านบาท ถือว่ายังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าเศรษฐกิจไทยที่ 18 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 1.3% ของ GDP
แต่หากเทียบกับรายได้จากการท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมาพบว่าอยู่ที่ 1.67 ล้านล้านบาท ก็จะคิดเป็น 14% ถือเป็นตัวเลขที่มีนัยมากขึ้น ส่วนในแง่ของบริษัทจดทะเบียนหากประเมินโดยเบื้องต้น เชื่อว่ากิจการที่จะได้ประโยชน์แรกนั่นคือ สนามบิน (AOT) แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ จะเปิดที่ใด เพราะหากไปเปิดจังหวัดอื่นที่ AOT ไม่ได้บริหารสนามก็อาจไม่ได้ประโยชน์มาก แต่เชื่อว่าจะเกิดการ Transit กันระหว่างสนามบิน ซึ่ง AOT ยังเป็นผู้ได้ประโยชน์
โดยหาก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เปิดทำการในพื้นที่ตะวันออกกลาง เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ หาดใหญ่ AOT จะเป็นผู้ได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะรับบริหารสนามบินในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่ธุรกิจโรงแรมจะเป็นกลุ่มได้ประโยชน์ถัดมา (ERW CENTEL MINT AWC) แต่ต้องดูพื้นที่อีกเช่นกันเพราะส่วนใหญ่แล้วโรงแรมในบริษัทจดทะเบียน ส่วนใหญ่จะมีโรงแรมตามเมืองท่องเที่ยวหลัก (เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ หัวหิน พัทยา) อีกทั้งกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ถัดมาคือกลุ่มค้าปลีก (BJC CPALL GLOBAL DOHOME) จากรายได้ของประชาชนที่จะมากขึ้นพร้อมกับการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB TTB) จะเป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ผ่านการขอสินเชื่อที่จะมากขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจและหากเศรษฐกิจดีขึ้น ภาระสำรองหนี้ก็มีแนวโน้มลดลงหนุนผลประกอบการ
ดังนั้น ภาพรวมต้องยอมรับว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ถือเป็นยากระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจ ดัชนีหลักทรัพย์ รวมถึงราคาหุ้น และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในหลายอุตสาหกรรม ไล่ตั้งแต่กลุ่มรับเหมา กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มบริการ และกลุ่มบริโภค รวมไปถึงเป็นจุดสร้างกระแสใหม่ให้นักลงทุนหันกลับมาพิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นไทย