ภาพรวมการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม 2567-มกราคม 2568 ถือว่าคึกคักเป็นอย่างมาก จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาร่วมงาน Big Event อย่างงาน EDC Thailand ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของประเทศไทย และเลือกเกาะภูเก็ตเป็นสถานที่จัด ส่งผลให้ภาพรวมการท่องเที่ยวคึกคักเป็นอย่างมาก โดยพบว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานภูเก็ตมีจำนวนมากถึง 437,411 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.4 จากปีก่อนหน้าและมีเที่ยวบินทั้งสิ้น 2,573 เที่ยวบิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 และส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมในทุกพื้นที่ของเกาะภูเก็ต ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 85.0-90.0 หรือบางโรงแรมมีอัตราการเข้าพักเต็มไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568
จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 ที่ผ่านมาสูงถึง 14 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 4 แสนล้านบาท ต่างชาติเดินทางเข้าสู่เกาะภูเก็ตเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย จีน คาซัคสถาน เป็นต้น ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ผู้พัฒนาบางรายมีการก่อสร้างไม่ทันต่อความต้องการ กลุ่มนักลงทุนจากต่างชาติบางกลุ่มยังคงสนใจการซื้อแบบเหมาอาคารในช่วงที่ผ่านมา
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมาเป็นช่วง High season ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตเช่นเดียวกัน โดยพบว่ากำลังซื้อต่างชาติให้ความสนใจและเข้าซื้อทั้งโครงการบ้านพักตากอากาศและคอนโดมิเนียมกันอย่างคึกคัก เช่น บจ.โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต สามารถปิดการขายบ้านพักตากอากาศในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้มากกว่า 10 ยูนิต โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศในช่วงระดับราคา 30-50 ล้านบาท ซึ่งถือว่าตลาดคึกคักเป็นอย่างมาก
ขณะที่ในปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในพื้นที่เกาะภูเก็ต ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่และจากกรุงเทพมหานคร เปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคัก โดยพบว่าอุปทานเปิดขายใหม่ทั้งในส่วนของตลาดคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศมากที่สุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 120,000 ล้านบาท และพบว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 67 ที่ผ่านมา มีโครงการเปิดตัวอีกมากกว่า 3,200 หน่วย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท
แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าสำหรับปี พ.ศ.2568 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง และทำเลที่ยังคงได้รับความนิยมคาดการณ์ว่ายังคงเป็นทำเลบางเทา เชิงทะเล ราไวย์ กะตะ กะรน และในพื้นที่เมืองภูเก็ต
สำหรับพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันทำเลหลักของการลงทุนบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตามแนวชายหาดและในพื้นที่ใกล้แนวชายหาด โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอถลาง ได้รับความนิยมมากที่สุด ตามแนวชายฝั่งตะวันตกของเกาะ ย่านหาดบางเทา หาดสุรินทร์ หาดลายัน เชิงทะเล รองลงมาคือ อำเภอเมืองภูเก็ต บริเวณอ่าวฉลอง หาดราไวย์ และอำเภอกะทู้ หาดกมลา ป่าตอง สำหรับแนวโน้มในอนาคต คาดการณ์ว่าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ยังคงนิยมพัฒนาบ้านพักตากอากาศในช่วงระดับราคา 30-50 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มราคาที่ค่อนข้างได้รับความสนใจจากกำลังซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติ และส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างจากชายหาดมากขึ้น เพราะต้นทุนราคาที่ดินไม่สูง และมีบรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย
อย่างไรก็ตาม จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่เกาะภูเก็ตเป็นจำนวนมาก พบว่าชาวต่างชาติบางส่วนที่แฝงตัวเข้ามาในคราบของนักท่องเที่ยวถือวีซ่านักท่องเที่ยวบังหน้า เข้ามาแอบประกอบธุรกิจในพื้นที่เกาะภูเก็ต เช่น ธุรกิจรถเช่า ไกด์เถื่อน สถานบันเทิง หรือแม้กระทั่งเข้ามากว้านซื้อที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้เม็ดเงินที่เกิดขึ้นไม่ได้เข้าสู่ประเทศไทยอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือว่ากระทบต่อภาคธุรกิจและผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะภูเก็ตเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการในพื้นที่เกาะภูเก็ตบางส่วนมีการเรียกร้องให้มีการยกเลิกฟรีวีซ่าเฉพาะในพื้นที่ภูเก็ต เพื่อเป็นการคัดกรองนักท่องเที่ยวมากขึ้น ให้กลับในเน้นในเรื่องของคุณภาพนักท่องเที่ยวมากกว่าในเรื่องของจำนวนที่มากเกินไปนั้น
แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย มีความเห็นว่า การยกเลิกฟรีวีซ่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งสำหรับข้อดีหากมีการยกเลิกฟรีวีซ่า จะทำให้สามารถควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวได้ การนำระบบวีซ่ากลับมา อาจทำให้นักท่องเที่ยวที่ถือวีซ่าบังหน้าเข้ามาหาผลประโยชน์ลดลง นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพ ซึ่งการคัดกรองนักท่องเที่ยวจะช่วยดึงดูดกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของจังหวัดภูเก็ต และยังเป็นการลดภาระของการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากอาจสร้างแรงกดดันต่อโครงสร้างพื้นฐาน การลดจำนวนจะช่วยให้ภูเก็ตสามารถบริหารทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทราบกันดีว่าปัจจุบันภูเก็ตต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค และปัญหาในเรื่องของการจราจรเป็นอย่างมาก
และสำหรับข้อเสียเรามองว่า การยกเลิกฟรีวีซ่าอาจกระทบเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งอาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางในลักษณะประหยัด เช่น จากจีน อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของเกาะภูเก็ต นอกจากนี้ อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระดับสากล การยกเลิกฟรีวีซ่าเฉพาะในภูเก็ต อาจทำให้เกิดความสับสนหรือส่งผลลบต่อนักท่องเที่ยว ทำให้ภูเก็ตดูเหมือนจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงยาก นอกจากนี้ อาจส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกับพื้นที่อื่น เนื่องจากหากภูเก็ตยกเลิกฟรีวีซ่า แต่พื้นที่อื่นในประเทศยังคงไม่มีข้อจำกัด นักท่องเที่ยวอาจเลือกไปที่อื่นก่อนแล้วค่อยเดินทางมาภูเก็ต ซึ่งจะไม่สามารถควบคุมได้ และอาจส่งผลให้เกิดการบังคับใช้ที่ยุ่งยาก เนื่องจากการทำให้ภูเก็ตเป็นข้อยกเว้นในการยกเลิกฟรีวีซ่าอาจสร้างความยุ่งยากในกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง
แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย แนะนำว่า ภาครัฐควรมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้นซึ่งภูเก็ตควรมุ่งเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ นักท่องเที่ยวระดับบนหรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้มากขึ้น และควรปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมท่องเที่ยว เนื่องจากการตั้งค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม เช่น นักท่องเที่ยวที่มาพักระยะยาว จะช่วยกรองนักท่องเที่ยวที่ไม่ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น และใช้รายได้จากค่าธรรมเนียมในการพัฒนาคุณภาพการบริการ นอกจากนี้ จังหวัดภูเก็ตควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น เช่น รถบัส หรือระบบรถไฟฟ้าในภูเก็ต รวมถึงการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น
ขณะที่ฟากท้องถิ่นในภูเก็ต ได้เริ่มที่มีความกังวลและเรียกร้องต่อรัฐบาลกลางในเรื่องปริมาณนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาสู่ภูเก็ตมากเกินความสามารถที่ภูเก็ตจะรับได้ โดยนายเรวัต อารีรอบ ผู้สมัครการเลือกตั้ง องค์บริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) ฝากประเด็นถึงรัฐบาลว่า เรื่องการยกเลิกฟรีวีซ่า วันนี้ควรที่จะดำเนินการเฉพาะในส่วนของภูเก็ต ตอนนี้นักท่องเที่ยวล้นเกาะแล้ว เนื่องจากทั่วทุกมุมโลกต้องการมาภูเก็ต เฉพาะภูเก็ตเรื่องฟรีวีซ่าไม่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่พบเรื่อง คุณภาพของนักท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม ค่อนข้างแย่ ถึงเวลาที่ต้องมีการคัดกรองต่างประเทศเข้ามา
ปัญหาเรื่องรถติดในภูเก็ต เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลกลางที่ควรใส่ใจ และรีบเร่งแก้ปัญหาจราจร โดยระยะแรก ตนได้มุ่งเน้นการขยายเส้นทางขนส่งมวลชน เพิ่มเส้นทางการเดินรถบัส EV ตั้งแต่หน้าท่าฉัตรไชยและสนามบินตรงสู่หาดดราไวย์ แต่เราจะมีการเสนอผ่านไปยังรัฐบาลกลางให้รีบเร่งแก้ปัญหาจราจร และเห็นควรที่จะมีระบบขนส่งมวงชนขนาดใหญ่เข้ามารองรับ
"วันนี้ เราทำให้ดูว่า อบจ.มีการแก้ไขเรื่องจราจร โดยนำรถ EV มาวิ่ง และมีแคมเปญในการรณรงค์ให้คนในภูเก็ตหันมาใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่รัฐบาลกลางต้องคิดในการต่อยอดเรื่องรถไฟฟ้า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน รัฐบาลไม่ควรละเลย เพราะภูเก็ต เมืองนี้ บ้านหลังนี้ ทำเงิน ทำรายได้ติดอันดับต้นๆ เข้าสู่ประเทศไทย และยังสนับสนุนให้จังหวัดใกล้เคียงเติบโตไปพร้อมๆ กับภูเก็ตด้วย" นายเรวัต กล่าว
ในเรื่องนโยบาย 'โลว์คาร์บอน' นั้น นอกเหนือจากการเติมรถ EV เข้ามาแล้ว มีปรับปรุงสวนสาธารณะขึ้นมา เปิดพื้นที่สีเขียวมากขึ้น รวมถึงเรื่องการเร่งกำจัดขยะ ที่ในแต่ละวันมีประมาณ 1,000 ตัน ที่จะดำเนินการควบคู่ไปด้วย เป็นการโลว์คาร์บอน ลดโลกร้อนได้จริง ดีกว่าการไปเตาเผา ซึ่งเรื่องการใช้พลังงานเข้ามาอีก เราจะดูเรื่องขยะอินทรีย์ตั้งแต่ต้นทางดีกว่า โดยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น อบจ. อบต. ชุมชน และโรงเรียน ทั้งหมดต้องจับมือกันช่วยกัน
"ภูเก็ตต้องมีการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง จราจร ขยะ น้ำแห้งและน้ำท่วม และดินสไลด์ที่มีประมาณ 8-9 จุดเป็นจุดเสี่ยง เหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องควบคุม เพื่อมิให้กระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในอนาคต และส่งเสริมให้ ภูเก็ต เป็นเมืองน่าอยู่ต่อไป และหากปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขและต่อเนื่อง ก็มาสเต็ปในเรื่องการพัฒนาภูเก็ตให้เกิดความยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ตนมีแนวคิดที่จะดึงภาษีเข้าสู่ท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถนำภาษีไปพัฒนาและดูแลจังหวัดมากขึ้น ดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ตลอดไป" นายเรวัต กล่าว
สำหรับ 8 นโยบายในการพัฒนาเมืองภูเก็ต ให้คนภูเก็ต “หยัดได้” (เชื่อถือได้) จากจุดแข็ง “หยัดได้ ไปต่อ” สานต่องานเก่าให้สำเร็จ ได้แก่ นโยบายเแก้ไขปัญหาจราจร ขยายเส้นทางการเดินรถขนส่งมวลชนสู่จุดหมายใหม่ ผลักดันโครงการถนนคู่ขนานเทพกระษัตรี และพัฒนาถนนสายรองและเส้นทางสำรอง ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ นโยบายเตรียมพร้อมภูเก็ตกรณีเกิดภัยพิบัติและความปลอดภัย Phuket Alert ระบบเตือนภัยอัจฉริยะ นโยบายสาธารณสุข ต่อยอดโครงการ “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” พร้อมระบบการแพทย์ทางไกล Telemedicine ครอบคลุมทั้งจังหวัด ยกระดับการบริการศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน 1669 นโยบายการศึกษา ผลักดันการศึกษาให้เยาวชน ก้าวล้ำสู่ยุค AI อย่างสร้างสรรค์
นโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อความสมดุลของธรรมชาติและชุมชน มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นโยบายสุขภาพและกีฬา ส่งเสริมสนามกีฬามาตรฐานครบทุกอำเภอ พร้อมพื้นที่สันทนาการ ผลักดันภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพ (Phuket Wellness Destination) นโยบายเศรษฐกิจ ผลักดันมหกรรมและเทศกาลนานาชาติ ส่งเสริมประเพณี ศิลปะ และวัฒนธรรมสู่สากล และ นโยบาย “หยัดได้” Next New Gen สร้างศูนย์ TCDC Phuket บ้านชาร์เตอร์ดแบงก์ จะเปิดให้บริการปลายปี 2568 พลิกฟื้นพื้นที่ สร้างคุณค่าให้ชุมชน สนับสนุนงานคราฟท์และเทศกาลร่วมสมัย
ในประเด็นเรื่องที่รัฐบาลได้ผ่านเรื่องการส่งเสริมเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้น ซึ่ง ภูเก็ตมีภูมิประเทศที่เหมาะสมและมีหลายเกาะสามารถรองรับได้นั้น ในมุมมองแล้ว เห็นว่า ทุกอย่างต้องฟังเสียประชาชนในภูเก็ตที่มีอยู่ 4.1 แสนคน ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ ความเหมาะสม ซึ่งจริงๆ แล้ว ภูเก็ต มีเสน่ห์ มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่ชาวต่างชาติชื่นชอบอยู่แล้ว