แสนสิริ เผยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันจองหุ้นกู้ล้น 7,000 ล้านบาท หมดเกลี้ยง ตอกย้ำความสำเร็จจากการเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ และสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง และแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจนและยั่งยืน
นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า จากการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมด 3 ชุด ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.90% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.20% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี ที่เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 16-17 และ 20 มกราคม 2568 นั้น ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน ยอดจองล้นและสามารถปิดการจองซื้อหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 มูลค่าเสนอขาย 7,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อความแข็งแกร่งของแบรนด์แสนสิริได้เป็นอย่างดี
"แสนสิริขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ SIRI ในครั้งนี้ ส่งผลให้หุ้นกู้หมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัท ตอกย้ำผู้นำแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านในด้านการพัฒนาโปรดักต์ และการวางกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง ตอบโจทย์และตรงใจกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์ทั้งดีไซน์ ฟังก์ชัน คุณภาพ ตลอดจนการบริการที่ตอกย้ำจุดยืนที่แตกต่าง” นายวิชาญ กล่าว
นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ชุดแรก มูลค่าเสนอขาย 7,000 ล้านบาทนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตที่มั่นคงในปีนี้ สำหรับหุ้นกู้ชุดที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม เนื่องจากแสนสิริมีวงเงินจากสถาบันการเงินที่พร้อมรองรับการพัฒนาโครงการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ คือการรักษาสภาพคล่องที่เหมาะสมรองรับได้ในทุกสถานการณ์ แม้บริษัทไม่มีแผนการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม ยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมได้ตรงตามกำหนด
ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB+” (Investment Grade) แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพท่ามกลางความท้าทาย โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2567 ที่บริษัทสามารถสร้างผลงานยอดโอนได้เกินเป้าถึง 43,700 ล้านบาท และพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์