บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ของโครงการหุ้นกู้ระยะกลาง (Medium-Term Note Program) มูลค่ารวมหนึ่งแสนล้านบาทของบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด หรือ SCGC เป็น ‘A-(tha)’ จาก ‘A (tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ โดยการปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการประเมินแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'A(tha)' / แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ทางด้านความสัมพันธ์เชิงกฎหมายเป็นระดับต่ำ จากระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก หลังจากที่ SCGC ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวทั้งหมดจากธนาคารสำหรับโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ในประเทศเวียดนาม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการค้ำประกันโดย SCC และคิดเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับหนี้สินทั้งหมดของ SCGC
นอกจากนี้ ฟิทช์ปรับลดสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ SCGC เป็น ‘bbb(tha)’ จากระดับ ‘bbb+(tha)’ ซึ่งสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินที่สูงของบริษัท จากการลงทุนในโครงการ LSP ในขณะที่การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินช้าลง เนื่องจากการฟื้นตัวของกำไรช้ากว่าที่ฟิทช์คาด สถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในฐานะหนึ่งในผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
ในปัจจุบัน ฟิทช์จัดอันดับเครดิตของ SCGC ในรูปแบบ top-down โดยอันดับเครดิตของ SCGC จะต่ำกว่าอันดับเครดิตของ SCC อยู่หนึ่งอันดับ ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจากบริษัทแม่ทางด้านความสัมพันธ์เชิงกฎหมายในระดับต่ำ ความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ในระดับสูง และความสัมพันธ์เชิงการดำเนินงานในระดับปานกลาง แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความท้าทายที่ SCC ต้องเผชิญในการลดอัตราส่วนหนี้สินในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ SCC จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.8 เท่า ณ สิ้นปี 2567 (ณ สิ้นปี 2566: 6.1 เท่า) เนื่องจากกำไรที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการลงทุนประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาทเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท PT Fajar Surya Wisesa Tbk ฟิทช์เชื่อว่าการฟื้นตัวของกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะช่วยสนับสนุนให้ EBITDA net leverage ของ SCC ลดลงเหลือประมาณ 5.8 เท่าในปี 2568 และ 4.4 เท่าในปี 2569
ส่วน EBITDA net leverage ของ SCGC จะยังคงอยู่ในระดับสูงมากระหว่างปี 2567-2568 เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงอ่อนแอ ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวจะลดลงไปที่ประมาณ 9.9 เท่า ในปี 2569 จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ค่อยๆ ฟื้นตัว แผนกลยุทธ์ทางเลือกในการลดหนี้สินของ SCGC รวมถึงการขายสินทรัพย์ ซึ่งอาจเพิ่มความยืดหยุ่นในการลดหนี้สินได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม การขายสินทรัพย์ดังกล่าวนี้ยังไม่ได้ถูกนำมารวมในประมาณการของฟิทช์เนื่องจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการดำเนินการ
ขณะที่โครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ฟิทช์คาดว่า น่าจะยังคงหยุดดำเนินการในปี 2568 เกือบทั้งปี เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะยังคงอ่อนแอ ฟิทช์คาดว่า LSP จะเริ่มกลับมาดำเนินการในปี 2569 เมื่อส่วนต่างราคาดังกล่าวฟื้นตัวอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในช่วงเวลานี้ SCC จะให้ความสำคัญกับโครงการเพิ่มขีดความสามารถในการใช้ก๊าซอีเทนเป็นวัตถุดิบของ LSP ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบในการผลิตได้ในระยะยาว SCC ได้ประกาศแผนการลงทุนดังกล่าวนี้ ซึ่งรวมถึงการสร้างระบบการจัดการและถังเก็บรักษาวัตถุดิบก๊าซอีเทน ด้วยงบลงทุนรวมประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2568-2570
ด้านสภาพคล่อง SCGC มีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2568 จำนวน 1.3 แสนล้านบาท โดยร้อยละ 41 เป็นเงินกู้ยืมจาก SCC ฟิทช์คาดว่าเงินกู้ยืมระยะสั้นของ SCGC จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาท จะสามารถเบิกเงินกู้ใหม่หมุนเวียนทดแทนเงินกู้เดิมได้ในการดำเนินธุรกิจตามปกติ อย่างไรก็ตาม เงินสดและเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขของฟิทช์) จำนวนประมาณ 6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 ไม่เพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า จำนวน 3.9 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่า SCC จะยังคงให้เงินกู้ยืมระหว่างกันเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ SCGC มีสภาพคล่องที่เพียงพอ นอกจากนี้สภาพคล่องของบริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากวงเงินหมุนเวียนจากสถาบันการเงินที่สามารถเพิกถอนได้และยังไม่ได้เบิกใช้ เนื่องจากบริษัทมีความสามารถที่แข็งแกร่งในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ผ่านตลาดทุนและสถาบันการเงิน ในฐานะหนึ่งในกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ**