ตลาดหุ้นไทยตกต่ำ ดัชนีหุ้นติดลบมาสองปีติดแล้ว และมีแนวโน้มว่า จะทรุดหนักต่อเนื่องเป็นปีที่สาม เพราะถูกปัจจัยลบทั้งจากภายนอกและภายในรุ่มกระหน่ำ แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังไม่มีมาตรการใดปลุกตลาดหุ้นให้ฟื้น
และดูเหมือนว่า นางสาวแพทองธารให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นน้อยมาก แทบไม่เคยพูดถึงความตกต่ำซบเซาหุ้นด้วยซ้ำ
เพิ่งจะมีนายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเวทีท่ามกลางคนในแวดวงตลาดหุ้น เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการแก้ปัญหาตลาดหุ้น แต่เนื้อหาสาระมีแต่น้ำ ไม่ได้จุดประกายความหวังว่าตลาดหุ้นจะฟื้นแต่อย่างใด และน่าจะสร้างความผิดหวังให้บรรดาผู้ที่ควักสตางค์จ่ายฟังนายทักษิณโต๊ะละหลายแสนบาท
นักลงทุนที่เปิดบัญขีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 3 ล้านคน แต่เกือบทั้งหมด กำลังตกอยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะหุ้นตกหนัก ส่วนทางกับตลาดหุ้นทั่วไปโลกที่สดใส นักลงทุนส่วนใหญ่ในโลกได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ
มีแต่นักลบทุนไทยเท่านั้นที่น้ำตาตก ขาดทุนยับเยิน และมองไม่เห็นสัญญาณการลงทุนฟื้นตัว ที่สำคัญ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ ไม่เคยแสดงความใส่ใจปัญหาของตลาดหุ้น
ในยุครัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาตลาดหุ้น กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เร่งหามาตรการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน
และผลักดันการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์วงเงิน 150,000 ล้านบาท รวมทั้งมาตรการคุมเข้มการ SHORT SELL หรือการยืมหุ้นมาขาย และคุมเข้มโปรแกรมการซื้อขายหรือ ROBOT TRADE
มาตรการปลุกตลาดหุ้นที่นายเศรษฐาผลักดันไว้ มีผลกระตุ้นดัชนีหุ้นให้พุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 1506 จุด เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2567 โดยรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์เป็นผู้ได้รับอานิสงส์การฟื้นตัวของตลาดหุ้น
แต่นางสาวอุ๊งอิ๊งค์เข้ามาบริหารประเทศแล้ว ไม่ได้สานต่อมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้น บุญเก่าที่นายเศรษฐาสร้างไว้จึงเริ่มหมดไป ไม่มีมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นโดยตรงจากรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์แม้แต่มาตรการเดียว มีแต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เห็นผลทีดีนัก
ภาวะเศรษฐกิจยังซบเซาหนัก การปิดกิจของบริษัทเอกชนขยายตัวลุกลาม มีแนวโน้มคนตกงานมากขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ถูกคาดหมายว่า จะเติบโตในอัตราที่ต่ำ
ตลาดหุ้นขาดเสน่ห์อย่างร้ายแรง นักลงทุนต่างชาติปักหลักเทขายหุ้น ขนเงินกลับบ้าน ช่วงปี 2566-2567 เทขายหุ้นทิ้งกว่า 3.4 แสนล้านบาท นักลงทุนรายย่อยในประเทศแบกหุ้นต้นทุนสูงรวมประมาณ 7 แสนล้านบาท ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา
ดัชนีหุ้นล่าสุดวันจันทร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเดียวที่นายทักษิณไปคุยโม้ใหญ่โตเรื่องตลาดหุ้น ดัชนี ฯ ถอยลงมาปิดที่ 1354 จุด ต่ำสุดในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ และมีแนวโน้มที่จะทรุดหนักต่อไป
โชคดีของลูกสาวนายทักษิณ เพราะหุ้นตกต่ำหนักขนาดนี้ ถ้ามีพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่เข็มแข็งเหมือนในอดีต เช่นพรรคประชาธิปัตย์ยุคนายชวน หลีกภัย
รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์คงถูกซักฟอกหนัก และอาจล้มคว่ำไปแล้ว จากความล้มเหลวการแก้ปัญหาตลาดหุ้น ลอยแพประชาชนผู้ลงทุน 3 ล้านคนที่กำลังทุกข์ระทมจากความเสียหายตลาดหุ้น
แต่โชคดีของ ”อุ๊งอิ๊งค์” คือโชคร้ายของนักลงทุนในตลาดหุ้น เพราะไม่ได้รับการเหลียวแลไม่มีมาตรการใดในการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน
ต่างชาติยังคงทยอยขายหุ้น ขนเงินกลับบ้านเช่นเดียวกับที่เคยทำมาตลอด 6 ปี
ปี 2568 ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้น มีแนวโน้มที่จะวิกฤตหนักขึ้น และมองไม่เห็นความหวังว่า
รัฐบาลอุ๊งอิงค์จะพาประเทศฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไปได้อย่างไร ประชาชนและนักลงทุนคงได้แต่ก้มหน้ารับกรรมเท่านั้น