ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าปรับลดลงเกือบทั้งแผง รับผลกระแสข่าวการปรับลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย โบรกฯ เผยหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเดิมป็นกลุ่มหุ้นปลอดภัย มั่นคงด้วยการเติบโตของรายได้และอัตราผลตอบแทนที่ดีมากกว่าหุ้นในกลุ่มอื่น ขณะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงนโยบายในการบริหารประเทศส่งผลให้มีการแทรกแซงราคาขายไฟฟ้าของภาครัฐ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลและสนใจน้อยลง เพราะการที่ลดค่าไฟฟ้าลงอีกอาจเป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจโรงไฟฟ้า
ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเช้าวานนี้พบว่าปรับตัวลดลงยกกลุ่ม หลังจากที่ข่าวการปราศรัยของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุถึงการปรับลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย โดย แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้ว และจะเรียกทุกฝ่ายรวมถึงภาคเอกชนประชุมเพื่อให้ยอมรับนโยบาย
จากเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับลดลงเรียกได้ว่าแทบจะยกแผง ซึ่งในที่นี้จะมองหุ้นที่ทำการผลิตและขายไฟฟ้าเป็นหลัก 7 บริษัท ประกอบด้วย GPSC บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) BGRIM หรือบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BPP หรือบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM หรือบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) EGCO หรือบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) RATCH หรือ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ GUNKUL หรือบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)
โดยราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า 7 หลักทรัพย์ ปิดช่วงเช้าราคาหุ้นร่วงลงแทบทุกหลักทรัพย์ และเมื่อปิดตลาดราคาหุ้นยังซึมดังนี้ GPSC ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 34.75 บาท ลดลง 2.50 บาท เปลี่ยนแปลง 6.71% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ราคา 34.25 บาท ลดลง 3.00 บาท เปลี่ยนแปลง -8.05% มูลค่าซื้อขาย 611.13 ล้านบาท
ขณะที่ BGRIM ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 17.70 บาท ลดลง 1.30 บาท เปลี่ยนแปลง 6.84% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 17.50 บาท ลดลง 1.50 บาท เปลี่ยนแปลง -7.89% มูลค่าซื้อขาย 460.11 ล้านบาท GULF ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 56.25 บาท ลดลง 1.25 บาท เปลี่ยนแปลง 2.17% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ และ EGCO ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 114.50 บาท ลดลง 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง 0.43% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 113.00 บาท ลดลง 2.00 บาท เปลี่ยนแปลง 1.74% มูลค่าซื้อขาย 38.48 ล้านบาท ส่วน RATCH ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 28.75 บาท ลดลง 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง 1.71% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 28.75 บาท ลดลง 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง 1.71% มูลค่าซื้อขาย 96.84 ล้านบาท และ BPP ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 10.00 บาท ลดลง 0.30 บาท เปลี่ยนแปลง 2.91% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 10.10 บาท ลดลง 0.20 บาท เปลี่ยนแปลง 1.94% มูลค่าซื้อขาย 15.50 ล้านบาท ตามด้วย GUNKUL ราคาหุ้นปิดเช้าที่ 2.14 บาท ลดลง 0.04 บาท เปลี่ยนแปลง 1.83% ปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 2.12 บาท ลดลง 0.06 บาท เปลี่ยนแปลง 2.75% มูลค่าซื้อขาย 20.60 ล้านบาท
นายสุวัฒน์ สินสาฎก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน บล.บียอนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าประเด็นที่นายทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดว่า “อยากได้ค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 3.7บาท/kWh” ส่งผลให้ราคาหุ้น GPSC และ BGRIM ดิ่งทันที เพราะทั้งสองบริษัทมีกำไรจากธุรกิจ Small Power Producer (SPP) โรงไฟฟ้าที่ราคาขายไฟฟ้าอ้างอิงกับราคาไฟฟ้าภาครัฐ แต่ต้นทุนอ้างอิงราคาก๊าซที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น หากรัฐลดราคาค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.5-3.7 บาท/kWh จริง นั่นจะทำให้ SPPs เช่น GPSC และ BGRIM ขาดทุนได้
ทั้งนี้ หากใช้ราคาต้นทุนพลังงานปัจจุบัน โดยเฉพาะราคาก๊าซที่รวมทั้งการผลิตในประเทศ (2/3) และการนำเข้า คาดว่าค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ราว 3.9 บาท/kWh โดยไม่ต้องคิดค่าก๊าซที่ต้องแบกรับสำหรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) ที่ยังคงแบกรับภาระค่าก๊าซสะสมราว 100,000 ล้านบาท ดังนั้น ค่าไฟฟ้าที่เป็นไปได้ คือ 3.9 บาท/kWh และภาครัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาภาระค่าก๊าซที่ยังคงแบกรับโดย EGAT ต่อไป และต้องยอมรับว่า หุ้นโรงไฟฟ้าไทยปัจจุบัน นอกจาก renewable แล้ว SPPs กลายเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดในตลาดหุ้นไทย เพราะโดนผลกระทบการแทรกแซงจากภาครัฐมากที่สุด
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เดิมทีแล้วหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มหุ้นปลอดภัย ด้วยการเติบโตของรายได้และการให้อัตราผลตอบแทนที่ดี และมีความมั่นคงมากกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นและแต่ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงนโยบายในการบริหารจัดการภายในประเทศ ส่งผลให้ราคาขายไฟฟ้าเกิดการแทรงแซงของภาครัฐไปพอสมควร เป็นปัญหาที่ทำให้นักลงทุนลดความชื่นชอบต่อกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าที่น้อยลง
ขณะที่ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ว่า สามารถรีดไขมันจากค่าไฟได้อยู่จำนวนหนึ่ง และดูว่าน่าจะลงได้อีก ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาและจะเรียกทุกคนประชุม ให้ทุกคนเต็มใจยอมรับกับการลดค่าไฟครั้งนี้ ทุกฝ่ายรวมถึงภาคเอกชนด้วยต้องช่วยกันนั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานในเช้าวานนี้ปรับตัวลดลงกันยกกลุ่ม มองว่าเป็นผลจากการที่นักลงทุนกังวลใจต่อการลดราคาค่าไฟที่อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า ด้วยราคาต้นทุนพลังงานอย่างน้ำมันดิบที่เรียกได้ว่าปรับตัวลงในระดับที่ต่ำมากแล้ว การที่ลดค่าไฟฟ้าลงอีกอาจเป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจโรงไฟฟ้า
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองประเด็นการปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดเชียงราย กล่าวถึงแนวคิดการลดค่าไฟในปีนี้ให้ลงมาที่ 3.70 บาท/หน่วย หรือลดลง 11% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย ยังคงต้องติดตามรายละเอียดในทางปฏิบัติว่าจะมีผลกับกลุ่มใดบ้าง เนื่องจากหากค่าไฟลดมาที่ 3.70 บาท/หน่วยได้จริงถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าไฟฐานที่ 3.78 บาท/หน่วย ปัจจัยดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อ Sentiment ลบในระยะสั้นต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP โดยเฉพาะ GPSC BGRIM แต่อีกด้านหนึ่งหากอัตราค่าไฟลดลงมีผลดีกับผู้ประกอบการภาคเอกชนในกลุ่มที่เป็นผู้ใช้ไฟด้วย