แม้ว่าการซื้อขายหุ้นโดยสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษ จนมีการออกกฎหมาย STOCKS Act เพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองใช้ข้อมูลภายในที่ได้จากตำแหน่งเพื่อใช้ในการลงทุน แต่ในปี 2567 ได้เกิดแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีโดยนักการเมืองซึ่งเป็นช่องโหว่ของข้อกฏหมายที่ยังไม่คลอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบใหม่นี้
กรณีที่น่าสนใจที่สุดคือการซื้อขายเหรียญมีม (meme coin) โดยไมค์ คอลลินส์ ผู้แทนราษฎรจากเขตรัฐสภาที่ 10 ของรัฐจอร์เจีย ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 คอลลินส์ได้ซื้อเหรียญที่ชื่อว่า Ski Mask Dog (SKI) รวมมูลค่าสูงสุดถึง 45,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจมีส่วนช่วยให้มูลค่าของเหรียญดิจิทัลนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
รายละเอียดการซื้อขายของคอลลินส์มีดังนี้:
1 ธันวาคม ซื้อ SKI ที่ราคาประมาณ 0.092 ดอลลาร์
2 ธันวาคม ซื้อเพิ่มเติมที่ราคาประมาณ 0.11 ดอลลาร์
3 ธันวาคม ซื้ออีกครั้งที่ราคาประมาณ 0.11 ดอลลาร์
ณ วันที่ 3 มกราคม 2568 ราคาของ SKI อยู่ที่ 0.2491 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าการลงทุนของคอลลินส์อาจเติบโตจาก 45,000 ดอลลาร์ เป็นประมาณ 108,000 ดอลลาร์ ทำให้มีกำไรสูงถึง 58,000 ดอลลาร์
โดยการซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันที่ 3 ธันวาคม น่าสงสัยเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ได้รับการเปิดเผยจนถึงวันที่ 1 มกราคม ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมถึงมีความล่าช้าในการรายงาน และอาจมีการซื้อขายเพิ่มเติมที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยหรือไม่
นอกจากนี้ กรณีนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่การซื้อขายโดยสมาชิกสภาคองเกรสอาจกลายเป็นเครื่องมือในการปั่นราคาตลาด ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ความเชื่อมั่นที่ว่าสมาชิกสภาคองเกรสเป็นนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้นักลงทุนทั่วไปพยายามเลียนแบบกลยุทธ์ของพวกเขา ส่งผลให้เกิดแรงซื้อขายในตลาดทันทีที่มีการเปิดเผยข้อมูลการลงทุน
แนวโน้มนี้ยังเห็นได้ในกรณีของบุคคลสาธารณะอื่น ๆ เช่น อีลอน มัสก์ ที่การแสดงความคิดเห็นหรือการกระทำของเขามักส่งผลกระทบต่อราคาตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น เหรียญมีมชื่อ KEKIUS MAXIMUS (KEKIUS) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากมัสก์เปลี่ยนชื่อและรูปโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดียเป็น Kekius Maximus ทำให้นักลงทุนบางคนสามารถเปลี่ยนเงินลงทุนเพียง 66 ดอลลาร์ เป็นกำไรมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์
กรณีของไมค์ คอลลินส์ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการตรวจสอบและกำกับดูแลการลงทุนของนักการเมืองในสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลภายในหรือการปั่นราคาตลาดที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการตรากฏหมายเพิ่มเติมเพื่อครอบคลุมประเภทสิทธิของนักการเมืองในการลงทุนซึ่งเป็นช่องโหว่ของกฏหมาย