ช่วงปลายปี 2567 มี 3 ปรากฏการณ์ใหญ่ สร้างความเสียหายให้นักลงทุนในวงกว้าง ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซาก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปี นับจากก่อตั้งตลาดหุ้น แต่ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดหยุดยั้ง ป้องกัน แก้ปัญหาหรือขจัดปัดเป่าปรากฏการณ์อันเลวร้ายได้เลย
ปรากฏการณ์แรก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สั่งให้บริษัทจดทะเบียน 3 แห่ง ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 3 ปี 2567 เนื่องจากมีปมธุรกรรมอันต้องสงสัยในความไม่โปร่งใส เข้าข่ายการถ่ายเทเงินออกจากบริษัท ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น โดยปมธุรกรรมอันต้องสงสัยของแต่ละบริษัทจดทะเบียนมีมูลค่าระดับ 1 พันล้านบาท
ปรากฏการณ์อันดับต่อมาคือ หุ้นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ประมาณ 4-5 บริษัท ราคาต่ำกว่าราคาหุ้นที่เสนอขายนักลงทุนเป็นครั้งแรก หรือต่ำกว่าราคาจอง และหุ้นใหม่บางตัวเข้ามาวันแรกต่ำกว่าจองระดับ 40% นักลงทุนที่จองซื้อหุ้นนับหมื่นรายขาดทุนกันป่นปี้
ปรากฏการณ์สุดท้าย ตลาดหลักทรัพย์สั่งเพิกถอนบริษัทจดทะเบียน 3 แห่ง เนิ่องจากไม่สามารถแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนได้ ประกอบกด้วยบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK บริษัท ซันไทยอุตสาหกรรมถุงมือยาง จำกัด (มหาชน) หรือ STHAI และบริษัท โปรเฟชชั่นแนล เวสท์ เทคโนโลยี (1999) จำกัด (มหาชน) หรือ PRO
หุ้นทั้ง 3 บริษัทที่ถูกตะเพิดออก ประสบปัญหาการดำเนินงาน ผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง มีปัญหานะทางการเงิน ต้องฟื้นฟูการดำเนินงาน แต่ทำไม่สำเร็จ จนหุ้นตกอยู่ในสภาพตายซาก และขาดคุณสมบัติการเป็นบริษัทจดทะเบียน
ผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนนับหมื่นรายต้องเซ่นสังเวย หมดเนื้อหมดตัว เพราะเข้าไปลงทุนหุ้นทั้ง 3 บริษัทที่ถูกขับพ้นตลาดหุ้นตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2568
ปัญหาผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมีพฤติกรรมฉ้อโกงผู้ถือหุ้น ผ่องถ่ายไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทจดทะเบียนในรูปแบบต่างๆ ปัญหาหุ้นบริษัทจดทะเบียนใหม่ ซึ่งเมื่อได้รับอนุมัตินำหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นแล้ว กลายเป็นหุ้นเน่าๆ และปัญหาการตะเพิดหุ้นที่ตายซากพ้นจากตลาดหุ้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สังคมชินชาไปแล้ว
ทั้งที่มีประชาชนผู้ลงทุนนับแสนนับล้านคน ต้องเดือดร้อน ได้รับผลกระทบ ได้รับความเสียหายร้ายแรง จากแก๊งอาชญากรรมหรือกลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งวันนี้ยังฝังตัวในตลาดหุ้น และพร้อมก่อโศกนาฏกรรมครั้งใหม่กับประชาชนผู้ลงทุน
หุ้นบริษัทจดทะเบียนใหม่เน่าๆ เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นแล้วราคาต่ำจอง ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ปล้นผู้ถือหุ้นรายย่อย โดยทำธุรกรรมซื้อขายทรัพย์สิน หรือขนเงินไปลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อผ่องถ่ายไซฟ่อนเงิน และการไล่ตะเพิดหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ตายซากจะยังเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งประชาชนผู้ลงทุนตกเป็นเหยื่อไม่รู้จักจบสิ้น
3 ปรากฏการณ์ใหญ่ที่สร้างความเสียหายให้นักลงทุนจำนวนรวมกันหลายหมื่นชีวิต เป็นสิ่งประจานความหละหลวม ผิดพลาด และล้มเหลวในการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน จนเกิดการปล้นสะดมนักลงทุนรายย่อยแทบจะทุกหย่อมหญ้าในตลาดหุ้น และเป็นการปล้นผู้ถือหุ้นโดยบริหารบริษัทจดทะเบียน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ในฐานะจำเลย ฐานปล่อยหุ้นเน่าเข้ามาปล้นนักลงทุน
ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่เป็นหัวโจก ตั้งแก๊งโกง สร้างธุรกรรมผ่องถ่ายเงินผู้ถือหุ้นรายย่อยดื้อๆ อย่างหน้าด้านๆ และบริษัทจดทะเบียนเน่าๆ ที่เข้ามาสูบเงินประชาชนผู้ลงทุนในตลาดหุ้น ก่อนปล่อยให้กิจการเหลือแต่ซาก จนถูกตะเพิดพ้นตลาดหุ้น เป็นปรากฏการณ์ที่เลวร้าย แต่คนที่ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายกลับลอยนวลมาตลอด
ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์จะทนดูแก๊งอาชญากร กลุ่มมิจฉาชีพเชือดหมู หลอกต้มประชาชนผู้ลงทุนต่อไปอีกหรือ
(พรุ่งนี้อ่านต่อ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องสุมหัว ร่วมมือกันปัดกวาดและปฏิรูปตลาดหุ้นครั้งใหญ่)