จีนออกกฎควบคุมตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศใหม่ กำหนดให้แบงก์ต้องตรวจสอบและแจ้งเตือนการเทรดที่มีความเสี่ยงและเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสกัดกิจกรรมคริปโตข้ามพรมแดน
เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ว่า กฎใหม่ของจีนจะทำให้ประชาชนซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลยากขึ้น
ภายใต้กฎใหม่ ธนาคารต้องติดตามตรวจสอบและรายงานกิจกรรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศที่มีความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงการเสี่ยงโชคข้ามพรมแดน แบงก์ใต้ดิน และกิจกรรมการเงินข้ามพรมแดนผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์คริปโต
หน่วยงานกำกับดูแลของจีนยังกำหนดให้ธนาคารติดตามกิจกรรมต่างๆ โดยอิงกับตัวตนของบุคคลและสถาบันที่เกี่ยวข้อง แหล่งทุน และความถี่ในการเทรด รวมทั้งต้องดำเนินมาตรการควบคุมความเสี่ยง และจำกัดการให้บริการแก่นิติบุคลที่สงสัยว่า เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเสี่ยง
กฎใหม่เหล่านี้สะท้อนว่า ปักกิ่งยังคงมุ่งมั่นกวาดล้างคริปโตที่รัฐบาลมองว่า อาจเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
หลิว เจิ้งเหยา จากบริษัทกฎหมายจีเฮง ชี้ว่า กฎใหม่จะเพิ่มพื้นฐานสำหรับการลงโทษผู้เทรดคริปโต และเสริมว่า จุดยืนของจีนต่อคริปโตอาจเข้มงวดขึ้นอีก
เขาบอกว่า การใช้หยวนซื้อคริปโตก่อนที่จะแลกเปลี่ยนเป็นเงินกระดาษสกุลต่างชาติอาจเข้าข่ายกิจกรรมข้ามพรมแดนภายใต้กฎใหม่ และยากที่จะเลี่ยงกฎควบคุมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศโดยใช้คริปโตภายใต้กฎใหม่เหล่านี้ได้
ทั้งนี้ จีนแบนการระดมทุนด้วยการเสนอขายดิจิทัลโทเคน (initial coin offerings (ICO) และสั่งปิดแพลตฟอ์มเทรดคริปโตตั้งแต่ปี 2017 ต่อด้วยการแบนธุรกรรมคริปโตในปี 2019 และสั่งห้ามสถาบันการเงินเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลและการทำเหมืองคริปโต โดยให้เหตุผลว่า ต้องการลดการใช้พลังงานในการขุดเหมืองและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปี 2021 มีการขยายผลด้วยการห้ามทำเหมืองบิตคอยน์และประกาศว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับคริปโตทั้งหมดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ปักกิ่งยังคงเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องจากผู้เชี่ยวชาญบางคนให้ผ่อนคลายกฎคุมเข้มคริปโต
เทรดเดอร์คริปโตในจีนยังเผชิญความเสี่ยงทางกฎหมายเพิ่มขึ้น โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศาลประชาชนสูงสุดตัดสินว่า การใช้คริปโตในการโอนหรือแปลงทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดเข้าข่ายละเมิดกฎหมายอาญา
นอกจากนั้น หน่วยงานกำกับดูแลของจีนยังเพิ่มการตรวจสอบการซื้อขายเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสเตเบิลคอยน์อย่างเทเธอร์ ซึ่งเท่ากับเป็นการยกระดับการจำกัดช่องทางการทำธุรกรรมคริปโต
อย่างไรก็ตาม แม้มีจุดยืนต่อต้านคริปโต แต่จากข้อมูลของบิตคอยน์ เทรเชอรีส์ ซึ่งเป็นระบบติดตามของบิตโบนั้น จีนถือครองบิตคอยน์ 194,000 บีทีซีหรือประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ตามราคาเมื่อวันพุธ (1 ม.ค.) ทำให้จีนเป็นประเทศที่ถือครองบิตคอยน์มากที่สุดอันดับ 2 ของโลก โดยบิตคอยน์เหล่านั้นมาจากการยึดสินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมาย
นอกจากนั้นแม้มีจุดยืนต่อต้านคริปโต แต่ฉางเผิง จ้าว อดีตซีอีโอไบแนนซ์ ระบุว่า จีนจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้กลยุทธ์คลังสำรองบิตคอยน์ จ้าวพูดในงานบิตคอยน์ มีนาที่อาบูดาบีเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า จีนอาจผลักดันนโยบายดังกล่าวอย่างรวดเร็วหากต้องการและ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งข้างหน้า จีนจะต้องทำแบบนั้น