มองภาพรวมหุ้นกลุ่มสายการบินช่วงโค้งสุดท้ายปี 67 คาดเติบโตต่อเนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวใกล้ช่วงก่อนโควิด-19 ด้านกูรูยก AAV โดดเด่นสุดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการเติบโตต่อเนื่อง แม้สะดุดจากปัญหาแอปพลิเคชัน “ตั๋วโดยสาร” เหตุมีความเสี่ยงต่ำจากจำนวนฝูงบิน อีกทั้งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ สวนทางตั๋วโดยสาร
นับตั้งแต่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/67 ขยายตัว 3.0% จากตลาดคาดการณ์ 2.4-2.7% ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับการลงทุนภาครัฐพุ่งแตะ 25.9% และการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน 4.9% ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะขยายตัวอยู่ที่ 2.6% และคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าประเทศไทยทะลุ 36 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท
ล่าสุด ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ วันที่ 9 ธ.ค.2567 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-8 ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 32.71 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายแล้ว 1.53 ล้านล้านบาท ดังนั้นในช่วงเดือนสุดท้ายของปีซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วง High Season ทำให้เชื่อได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
AOT ไตรมาสแรกสุดพีค
และนั่นทำให้เชื่อว่าหุ้นในกลุ่มสายการบินน่าจะมีอัตราการเติบโตด้านผลประกอบการที่น่าสนใจ ไม่น้อยหน้า บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ซึ่งมั่นใจว่ายอดผู้โดยสารปี 2568 (ต.ค.2567-ก.ย.2568) จะอยู่ประมาณ 130 ล้านราย ตามการเติบโตของตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (6,325,694 คน) มาเลเซีย (4,586,284 คน) อินเดีย (1,961,246 คน) เกาหลีใต้ (1,723,423 คน) และรัสเซีย (1,551,205 คน)
นำไปสู่กาคาดการณ์ของโบรกเกอร์ต่อ AOT ว่า ปี 2568 (ต.ค.2567-ก.ย.2568) จะเป็นปีที่กำไรของ AOT จะเติบโตดีกว่าภาพรวมของตลาด โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิโต 22% ขณะที่คาดว่ากำไรของ บจ.ทั้งหมดจะเติบโตเพียง 10-11% ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลดีต่อ AOT อย่างมีนัยสำคัญ นั่นคืออัปไซด์จากการบริการภาคพื้นดินรายที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร (PSC)
นอกจากนี้ เชื่อว่าจำนวนผู้สารในสนามบินจะกลับมาสู่ระดับ 100% ก่อนเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีการประเมินว่าไตรมาสแรกของปี 2568 (ต.ค.-ธ.ค.2567) ของ AOT กำไรปกติจะเติบโต YoY และ QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ส่องหุ้นสายการบิน
ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบินบนกระดานหลักทรัพย์ จากเดิมมี 4 บริษัท แต่เร็วๆ นี้ คงต้องจากหายไป 1 บริษัท เพราะล่าสุด (18 ธ.ค.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) (NOK) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เนื่องจากบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ และไม่สามารถดำเนินการแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนหมดไป หรือให้มีคุณสมบัติกลับมาซื้อขายได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
อันเป็นเหตุเพิกถอนตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง การเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน พ.ศ.2542 ข้อ 9(6)(ง) และข้อ 9(15) ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเปิดให้ซื้อขายหลักทรัพย์ของ NOK เป็นเวลา 7 วันทำการ ก่อนวันที่มีผลเป็นการเพิกถอนหลักทรัพย์ คือ ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567-8 มกราคม 2568 ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด
THAI ใกล้หลุดออกจากฟื้นฟู
ถัดมาอีกหนึ่งหุ้นสายการบินที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู นั่นคือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) โดยล่าสุด (11 ธ.ค.) มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเร็วๆ นี้ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท การบินไทย จำกัด เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ THAI ได้แจ้งการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในการบินไทยเรียบร้อยแล้ว โดยเม็ดเงินเพิ่มทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะนำรายได้ที่เป็นเงินฝากจากการบริหารหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลังมาใช้ในการเพิ่มทุน
โดยภายหลังการเพิ่มทุนแล้วกระทรวงการคลังจะถือหุ้นรวมราว 40% ซึ่งระดับการถือหุ้นดังกล่าวจะไม่ทำให้การบินไทยกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากกระทรวงการคลังไม่ได้ถือหุ้น 51% แต่สัดส่วนการถือหุ้น 40% นั้นจะทำให้การบินไทยยังจะเป็นสายการบินแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ในระดับ 40% นั้นเป็นการเพิ่มทุนรวมกันของส่วนที่กระทรวงการคลังถือหุ้นการบินไทยโดยตรง ร่วมกับส่วนที่กระทรวงการคลังถือหุ้น ได้แก่ กองทุนวายุภักษ์และธนาคารออมสิน โดยก่อนหน้าที่กระทรวงการคลังจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนและแปลงหนี้เป็นทุน 100% กระทรวงการคลังได้ถือหุ้นในการบินไทยอยู่ที่ 47.99%
แต่เมื่อเจ้าหนี้ทั้งหมดของการบินไทยได้ใช้สิทธิในการแปลงหนี้เป็นทุนทั้งหมด ทำให้กระทรวงการคลังถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงมาอยู่ที่ประมาณ 30% อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนจะทำให้กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นรวมราว 40% สำหรับ THAI หลังการปรับโครงสร้างทุนแล้ว ส่วนทุนของบริษัทจะกลับมาเป็นบวก เข้าเงื่อนไขการยื่นออกจากแผนพื้นฟูกิจการ โดยคาดว่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากนั้นจะกลับเข้าซื้อชายในตลาดหลักทรัพย์ราวเดือนพฤษภาคม 2568
BA ยอดตั๋วพุ่งต่อเนื่อง
ด้านบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA นั้น บริษัทคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการบินเติบโตในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยจากข้อมูลของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) พบว่าการเดินทางระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยคาดว่าจะเติบโตที่ 17.2% ในปี 2568 สะท้อนจากยอดการสำรองที่นั่งบัตรโดยสารล่วงหน้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ตั้งแต่ไตรมาส 4/67 นี้ เติบโตต่อเนื่องจนถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (30 มิ.ย.2568) ที่มีอัตราการจองเติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) โดยมีอัตราการจองในเส้นทางสมุยเติบโตสูงสุด 25%YoY
ส่วนการแข่งขันในภาพรวมอุตสาหกรรมการบินของปี 2568 ผู้บริหาร BA มองว่าการแข่งขันจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมาซึ่งขณะนี้ เพราะแต่ละสายการบินยังมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนเครื่องบินที่อาจมีไม่พอให้บริการกับจำนวนความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น
ทำให้ บล.เมย์แบงก์ ประเมินแนวโน้มธุรกิจ BA ว่า ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 28.50 บาทซึ่งประเมินธุรกิจสายการบินที่ 15.60 บาท/หุ้น (คิดจาก P/E ปีงบ 68 ที่ 13 เท่า) และการลงทุนใน BDMS, BAREIT, WFS -PG Cargo และ BAFS รวมกันที่ 11.10 บาท/หุ้น
สิ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ BA มีแหล่งการทำกำไรที่หลากหลาย (67% จากธุรกิจสายการบินและ 33% จากรายได้ประจำจากสนามบินธุรกิจภาคพื้นและเงินปันผล) โดยธุรกิจสายการบินของ BA ทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินสดสำคัญ (Cash Cow) เนื่องจากการแข่งขันที่จำกัด อย่างไรก็ตาม ศักยภาพการเติบโตของรายได้อาจมีจำกัดเนื่องจากค่าโดยสารเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ใกล้จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ และการขยายกำลังการรองรับผู้โดยสารยังค่อนข้างจำกัด
โดยธุรกิจให้บริการภาคพื้นและขนส่งสินค้าธุรกิจสายการบิน ถือแหล่งเงินสดสำคัญของ BA เนื่องจากได้รับประโยชน์จากค่าโดยสารที่สูงบนเส้นทางสมุย (คิดเป็น 60% ของรายได้จากตั๋วเครื่องบิน)
อย่างไรก็ตาม มองว่าการเติบโตของค่าโดยสารเฉลี่ยจะมีจำกัดในปีงบ 68-69 เนื่องจากค่าโดยสารในเส้นทางสมุยใกล้แตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ ถึงแม้ ASK (Available Seat Kilometer) จะอยู่เพียง 50% ของระดับปี 62 ขณะเดียวกัน BA มีแผนเช่าเครื่องบินเพิ่มเพียงไม่กี่ลำในปีงบ 68-69 ทำให้มีกลยุทธ์การดำเนินงานที่ระมัดระวัง จนอาจจำกัดศักยภาพการเติบโตของรายได้จากธุรกิจสายการบิน
นอกจากนี้ BA ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ อัปไซด์จากโครงการขยายสนามบิน ซึ่ง BA มีแผนเพิ่มกำลังการรองรับสนามบินสมุยเป็น 6 ล้านคนต่อปีด้วยเงินลงทุน 1.5 พันล้านบาท (COD ในปีงบ 71) ไม่เพียงเท่านี้กลุ่มพันธมิตรที่นำโดย BA ชื่อ ‘UTA’ ได้เซ็นสัญญาสัมปทานศูนย์การบินใหม่ที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งโครงการนี้อาจเพิ่มมูลค่า 4.60 บาท/หุ้นให้กับ valuation
AAV โดดเด่นสุดในกลุ่ม
ขณะที่ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) นั้น บล.พาย ระบุว่า กลุ่มการบินเป็นหุ้นที่ยังคงได้รับผลดีจากอัตราเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ต้องการเดินทางยังคงอยู่ในระดับสูงและหนุนให้ราคาค่าโดยสารยังคงสูงได้อยู่ ขณะที่ในแง่ราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับที่ไม่สูงนัก จึงจะหนุนให้ความสามารถในการทำกำไรยังคงดีอยู่เหมือนที่เกิดในช่วง 9M24 ที่ผ่านมาทำให้ AAV ถือเป็น Top Picks ของกลุ่มเพราะได้รับผลดีจากทุกปัจจัยข้างต้น โดยในส่วนของเครื่องบินยังคงมีเครื่องบินที่รอนำกลับมาบินอยู่จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าการจัดหาเครื่องบินใหม่ นอกจากนี้ จากการที่มีส่วนแบ่งจากเส้นทางในประเทศมากที่สุด จึงทำให้ได้รับผลดีจากความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
ส่วนประเด็นปัญหาการจองตั๋วเกิดจาก Application ของ AirAsia Move (ถือหุ้นโดย Capital A โดย AAV ไม่ได้เป็นถือผู้ถือหุ้น) นั้น โบรกเกอร์คาดว่าเป็น Sentiment ลบกดดันเพียงชั่วคราวและอยู่ระหว่างการคืนเงินแก่ลูกค้าโดยเร็วที่สุด ดังนั้นด้าน Operation แนวโน้มกำไร Q4/24-Q1/25 คาดจะเติบโตโดดเด่นจาก High Season ของภาคการท่องเที่ยวไทย
ภาพรวมอุตฯ ท่องเที่ยวเติบโต
ด้าน บล.ดาโอ ประเมินทิศทางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวว่า ภาพรวมนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) มีการเติบโตด้านการเดินทางได้ดี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรปที่เริ่มเดินทางเข้ามามากขึ้นจากช่วง High season สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15ธ.ค.24 ทั้งสิ้น 33,491,851 คน เพิ่มขึ้น +27% YoY
ทำให้ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 16-22 ธ.ค.24 ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในเดือน ธ.ค.24 ยังมีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน
ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024 ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่ประเมินไว้ จึงให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาดแก่ Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยว นั่นคือ AAV, CENTEL และ MINT
ขณะที่ บล.กรุงศรี ประเมินทิศทางหุ้นกลุ่มสายการบินว่า คงน้ำหนัก Bullish หุ้นกลุ่มการบิน โดยคาดกำไร 4Q24F เติบโตแกร่งจากปริมาณผู้โดยสารโต ราคาตั๋วโดยสารสูง และราคาน้ำมันต่ำ และยังเลือก AAV (Buy, TP 3.9) เป็นหุ้น Top pick กลุ่ม จากโอกาสได้ประโยชน์จาก High season และราคาน้ำมันต่ำ
นั่นเพราะมอง Positive ยอดนักท่องเที่ยวเพิ่ม 11% จากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวเต็มตัว ขณะที่ราคาน้ำมัน (Jet Fuel) เพิ่ม 3.5% แต่ราคาน้ำมันเฉลี่ย 4Q24(qtd) ลด 18%yy และ 3%qq ซึ่งราคาน้ำมันที่ต่ำลง 1 USD เป็น Upside ต่อผลประกอบการ AAV +4% และ BA +1%
ดังนั้น จึงยังคงให้น้ำหนัก Bullish หุ้นกลุ่มการบิน เพราะมี Sentiment บวกจากเข้าสู่ High season (4Q24-1Q25) โดยผลประกอบการ 4Q24F มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ตามการเติบโตของปริมาณผู้โดยสาร (+19%yy +18%qq) และราคาตั๋วโดยสารยังมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของปริมาณผู้โดยสาร (93% to Pre COVID) ที่สูงกว่าเที่ยวบิน (90% to Pre COVID)
จึงเลือก AAV (Buy, TP 3.90) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มการบินจาก (1) คาดกำไรปกติ 4Q24โตyy qq เด่นที่สุดในกลุ่ม (2) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลงมากสุดในกลุ่ม และ (3) ลุ้นการรวมกิจการกับ Thai AirAsiaX ในปี 2025F (ตามนโยบายกลุ่ม AirAsia ที่มาเลเซีย)