สินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะบิทคอยน์เป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในปี 2567 ปรับตัวขึ้นจาก 40,000 ดอลลาร์ จนถึง 107,000 ดอลลาร์ คิดเป็น 160% ซึ่งการปรับตัวขึ้นครั้งนี้เกิดจากปัจจัยสนับสนุนจำนวนมาก เช่น การอนุมัติ Bitcoin spot ETFs, การอนุมัติ Bitcoin option ETFs, Bitcoin halving, การอนุมัติ Ethereum spot ETFs รวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomics) เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีของสหรัฐฯ, การชนะการเลือกตั้งของ Donald Trump เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เหตุผลข้างต้นเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2567 และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องในปีถัดไป
นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่าเนื่องจาก Merkle Capital เป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Fund Asset Manager) จึงต้องวิเคราะห์ทั้งภาพรวมตลาดทุน, ภาพรวมเศรษฐกิจและเจาะลึกภาพรวมคริปโตฯ โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนบิทคอยน์รวมถึงคริปโตฯ และสกุลเงินอื่นๆ คือการเปิดรับความเสี่ยงของนักลงทุน ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยจำนวนมากตามต่อไปนี้
ปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomics)
ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาของ $BTC ปรับตัวขึ้นจาก 67,000 ดอลลาร์ จนถึงบริเวณ 93,000 ดอลลาร์ และทำระดับ All time high ในเวลา 8 วัน คือการชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ของ Donald Trump เนื่องจากนโยบายจำนวนมากกล่าวถึงการสนับสนุน Bitcoin และภาพรวมคริปโตฯ แม้ขณะนี้ Donald Trump ยังไม่ได้ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี ช่วงเดือนกันยายน 2567 ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนผ่อนคลายและนักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น เป็นเหตุผลสำคัญในการสนับสนุนภาพรวมคริปโตฯ ในปี 2567 ที่ผ่านมา
ปัจจัยสนับสนุนจาก Cryptocurrency
Bitcoin และ Ethereum ถูกยกระดับสินทรัพย์ขึ้น จากการอนุมัติ Bitcoin spot ETFs, Ethereum spot ETFs และ Bitcoin option ETFs ทำให้นักลงทุนกลุ่มสถาบันเข้าถึงง่ายมากขึ้น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาของ BTC ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุด จำนวนเงินที่ไหลเข้ากลุ่ม Bitcoin spot ETFs สูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น การยอมรับที่เปิดกว้างและการเริ่มซื้อ Bitcoin ของกลุ่มนักลงทุนสถาบันเป็นแรงสนับสนุนหลักที่ทำให้ภาพรวมตลาดคริปโตฯ มีโอกาสเป็นขาขึ้นในปี 2025
นอกจากนี้ Bitcoin halving เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในทุก 4 ปี ทำให้จำนวนบิทคอยน์ ที่เกิดขึ้นในระบบลดลงครึ่งหนึ่งจากทุกการขุด เมื่อพิจารณาเชิงสถิติจะพบว่า 1 ปีก่อนและหลังเหตุการณ์ Bitcoin Halving ราคาของ BTC มักจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2567 ราคาของ BTC ปรับตัวขึ้นกว่า 160% ในช่วง 1 ปีก่อนเกิดเหตุการณ์และจากวันนั้นถึงปัจจุบัน BTC ปรับตัวขึ้นกว่า 80% แม้ยังไม่ครบรอบ 1 ปีตามสถิติ
วิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนภาพรวมตลาดคริปโตฯ ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม ราคาของ $BTC ปรับตัวขึ้นจากปัจจัยสำคัญในปี 2567 แต่คริปโตฯ สกุลเงินอื่นจำนวนมากยังไม่สามารถผ่านระดับสูงสุดเดิมได้เช่น Ethereum เป็นต้น แต่หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานในปี 2568 แล้วจะพบว่าบิทคอยน์และคริปโตฯ สกุลเงินอื่น ๆ ยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
และเนื่องจากปี 2567 เป็นปีที่มีการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนน้อยลงในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่น่ากังวลในปี 2568 คือ โอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังของ 2568 เมื่อพิจารณาเพิ่มเติมจะพบว่าตลาดยังไม่ได้เฝ้าระวังมากนักเนื่องจากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นก่อนที่เศรษฐกิจจะอ่อนตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจปรับตัวขึ้นรับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง รวมถึงการทำงานของ Donald Trump หลังรับตำแหน่งในปี 2568 ที่จะสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก ทำให้ปัจจัยนี้ยังไม่สามารถสร้างความกังวลต่อนักลงทุนในระยะสั้นได้
โอกาสและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก Cryptocurrency ในปี 2568
จากข้อมูลของ Market value to realized value (MVRV) จะพบว่าต้นทุนเฉลี่ยของผู้ถือครองบิทคอยน์ในระบบบล็อกเชน (ไม่รวมต้นทุนที่ถูกลงทุนในกลุ่ม ETFs) สูงถึง 39,000 ดอลลาร์ และเมื่อพิจารณาเชิงสถิติ ราคาสูงสุดของ BTC มักจะอยู่บริเวณที่ MVRV เท่ากับ 3.7 ขึ้นไปหรือคิดเป็น 145,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการอนุมัติ Spot ETFs เกิดขึ้นในปี 2567 อาจทำให้ต้นทุนเฉลี่ยมีความคลาดเคลื่อนที่ไม่สามารถวัดได้จากกลุ่มสถาบันและอาจมีผลกระทบต่อราคาสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น การวัดมูลค่าของ BTC ในระยะสั้นจึงทำได้ยาก แต่ปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์ยังคงแข็งแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากทั้ง Bitcoin spot ETFs, การเข้าซื้อของบริษัท Microstrategy ทั้ง 2 ปัจจัยนี้มีเม็ดเงินหลักจากกลุ่มสถาบันที่ไม่เคยลงทุนในบิทคอยน์หรือตลาดคริปโตฯ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะสนับสนุนภาพรวมคริปโตฯ ในปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้ง ในปี 2567 มีการอนุมัติ Ethereum spot ETFs เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มการเข้าถึงของ Ethereum จากกลุ่มสถาบันและเม็ดเม็ดเงินใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุน เป็นผลให้มีโอกาสที่ ETH สามารถปรับตัวขึ้นได้สูงหากกลุ่มสถาบันเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นในปี 2568 รวมถึงปัจจัยภายในของ Ethereum ecosystem ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Ethereum เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินคริปโตฯ ที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2568
จากข้อมูลของอัตรา Bitcoin dominance (BTC.D) ที่แสดงถึงมูลค่าตลาดของบิทคอยน์เทียบกับมูลค่าตลาดของคริปโตฯ จะพบว่าปัจจุบันอัตรา BTC.D อยู่สูงถึง 57.7% เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่เกิดขึ้นและเม็ดเงินในปี 2567 สนับสนุน บิทคอยน์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงข้อมูลทางสถิติจะพบว่า หลังจากที่ราคาของ BTC ทำสถิติสูงสุดในรอบนั้นแล้ว ค่าของอัตรา BTC.D จะปรับตัวลงได้ถึงบริเวณ 40% แสดงถึงเม็ดเงินลงทุนที่ย้ายจากบิทคอยน์เข้าสู่กลุ่ม Altcoin และทำให้ภาพรวมมูลค่าตลาดของ Altcoin เพิ่มขึ้นกว่า 50%
ดังนั้น Merkle Capital จึงมองว่าปี 2567 เป็นปีที่ดีของตลาดคริปโตฯ เนื่องจากถูกยอมรับจากกลุ่มสถาบันมากขึ้นโดยเฉพาะบิทคอยน์แต่ในปี 2568 นั้นเป็นโอกาสของภาพรวมคริปโตฯ ทั้งตลาดจากปัจจัยหลักข้างต้นในบทความ
อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนและเป็นเพียงการวิเคราะห์ตามข้อมูลจริงเท่านั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในอนาคตได้และคริปโตเคอร์เรนซี่มีความเสี่ยง ควรศึกษาให้ดีก่อนเริ่มต้นลงทุน
หมายเหตุ คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต หรือผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดำเนินงานในอนาคต
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ควรวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน