สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global Ratings) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
S&P ยังคาดการณ์ด้วยว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องจาก 1.9% ในปี 2566 เป็น 2.8% ในปี 2567 และ 3.1% ในปี 2568 ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คาดว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) จะเติบโตเฉลี่ย 3.0% ในช่วงปี 2567-2570
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า S&P มองว่ารัฐบาลไทยจะยังคงเน้นการลงทุนตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งรวมถึงโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ อีกทั้งคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญในขับเคลื่อนโครงการลงทุนเหล่านี้ต่อไป
สำหรับหนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่อ GDP คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.3% ในปี 2568 โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งรวมถึงการแจกเงิน 10,000 บาท ขณะที่คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลเฉลี่ย 2.3% ตั้งแต่ปี 2567-2570 เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยในระหว่างเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 28.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 29.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ S&P จะยังคงติดตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างใกล้ชิดเทียบกับประเทศที่มีรายได้ระดับเดียวกัน รวมทั้งจับตาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ โดยหากการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความต่อเนื่องและการเมืองมีเสถียรภาพ อาจส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยได้รับการปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 'A-'