xs
xsm
sm
md
lg

กูรูคาด SCB-TTB-TISCO-KKP กระทบหนักสุด รับมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โบรกเกอร์ประเมินกลุ่มแบงก์ หลังรัฐบาลออกมาตรการแก้หนี้ของภาครัฐผ่านโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ดาโอเชื่อไม่กระทบกำไรกลุ่มแบงก์อย่างมีนัยสำคัญ เหตุไม่มีการรับรู้ดอกเบี้ย 3 ปี และจะเห็นสำรองช่วง 2H25E ขณะที่คงน้ำหนักแบงก์ใหญ่สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเยอะ “มากกว่าตลาด” และเลือก KTB, KBANK เป็น Top pick ด้านฟินันเซีย มองต่างเป็นลบต่อกลุ่มแบงก์ ชี้ SCB TTB TISCO KKP กระทบเยอะสุด เหตุมีลูกหนี้กลุ่มสินเชื่อบ้านและรถมาก

ดาโอมองเป็นกลางหุ้นแบงก์ เชื่อไม่กระทบกำไรแบบมีนัยสำคัญ
ฝ่ายวิจัย บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการคุณสู้ เราช่วย โดยมี 2 มาตรการคือ มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ และมาตรการ จ่าย ปิด จบ โดยลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมได้ต้องทำสัญญาสินเชื่อก่อน 1 ม.ค.67 และมีสถานะเป็นลูกหนี้ค้างชำระ 31-365 วัน ขณะที่ลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมต้องเข้าไปลงทะเบียนผ่าน ธปท. ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.67-28 ก.พ.68 มองเป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร

ทั้งนี้ 1) มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ มีเพียงวงเงินที่ลดลงเหลือ 8.9 แสนล้านบาท และเพิ่มวงเงินสินเชื่อบ้านและ SME เป็น 5 ล้านบาท จากเดิมที่ 3 ล้านบาท ขณะที่ผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนทั้งปี 2025E คาดว่าจะไม่กระทบแบบมีนัยสำคัญ เพราะ 1H25E จะโดนผลกระทบต่อ Loan yield ที่จะลดลงจาก EIR ที่ลดลง เพราะไม่มีการรับรู้ดอกเบี้ย 3 ปี แต่ช่วง 2H25E จะเห็นการลดลงของสำรอง หลังจากที่ลูกหนี้กลับมาจ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด

อย่างไรก็ดี ยังรอความชัดเจนในการลงบัญชีเพราะตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะมีการบันทึกเป็นดอกเบี้ยค้างรับหรือไม่ ซึ่งต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ธปท. อีกที

ส่วน 2) มาตรการ จ่าย ปิด จบ มองเป็นบวกเพราะสินเชื่อส่วน บุคคล-บัตรเครดิต โดยปกติทุกธนาคารจะมีการ write-off ค่อนข้างเร็ว ประมาณ 6-12 เดือน โดยสินเชื่อที่เข้ามาตรการนี้จะเป็นหนี้เสียค้างเกิน 1 ปี ทำให้กลุ่มธนาคารมีโอกาสได้เงินคืนจากลูกหนี้กลุ่มนี้เข้ามาเพิ่มเติมได้บ้างเล็กน้อย

ให้น้ำหนักลงทุนแบงก์มากกว่าตลาด ชู KTB-KBANK เป็น Top Pick

ทั้งนี้ ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเรียงจากมากน้อยคือ TTB (62%) KTB (46%) SCB (40%) KBANK (28%) ยังคงน้ำหนัก เป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB KBANK เป็น Top pick เราให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะแนวโน้มการเติบโตของ กำไรปี 2024E-2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 5-6% YoY

ขณะที่ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.67x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ขณะที่เรายังคงเลือก KBANK KTB เป็น Top pick

KTB ราคาเป้าหมายที่ 24.50 บาท อิง PBV 2025E ที่ 0.85x (-0.75SD below 10-yr average PBV) เพราะกำไรสุทธิปี 2024E อยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ +18% YoY ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY แต่จะลดลง QoQ จาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และ KTB เน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐมากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้

KBANK ราคาเป้าหมายที่ 176.00 บาท บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.70x (1.00SD below 10-yr average PBV) เพราะคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และคาดหวัง JV AMC กับ BAM จะช่วยลด NPL ได้ในระยะยาว และคาดกำไร 4Q24E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองที่ลดลง โดยปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.66x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) ถูกกว่า SCB ที่ 0.81x PBV

ฟินันเซีย มอง SCB-TTB-TISCO-KKP อาจรับผลกระทบมากสุด

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่า กลุ่มธนาคาร มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน “คุณสู้ เราช่วย” ที่ประกอบด้วย

1) กลุ่มที่เข้าข่ายช่วยเหลืออยู่ที่ 0.89 ล้านล้านบาท น้อยกว่าที่คาดเดิม 1.3 ล้านล้านบาท

2) ลงทะเบียนได้ถึง 28 ก.พ.2025 ยังเป็นโปรแกรมสมัครใจ

3) FIDF fee ที่จะลงครึ่งหนึ่งอาจจะเป็นเฉพาะปีแรก ปีที่สอง ที่สาม อาจจะพิจารณาหลังปิดลงทะเบียน

4) ดอกเบี้ยที่พักไว้ 3 ปี รัฐบาลกับธนาคารจะสนับสนุนช่วยกันคนละ 50%

5) กำลังพิจารณาที่จะขยายมาตรการไปยังกลุ่ม Non-bank และ

6) มีเงื่อนไขห้ามก่อหนี้ใหม่ใน 12 เดือนแรก

ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นลบต่อแบงก์พาณิชย์ แต่อาจจะน้อยกว่าที่เราคาดไว้เดิม เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่ลดลงเหลือ 8.9 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับจำนวนลูกหนี้ที่จะมาลงทะเบียน อย่างไรก็ดี การที่ส่งสัญญาณว่า FIDF fee cut อาจน้อยลงในปีที่สองและสาม ทำให้ผลกระทบด้านลบยังมีอยู่ ธนาคารรายย่อยที่มีลูกหนี้กลุ่มสินเชื่อบ้านและรถเยอะ เช่น SCB TTB TISCO KKP อาจจะได้รับผลกระทบเยอะกว่า