xs
xsm
sm
md
lg

ดีมานด์ต่างชาติดันยอดขายอสังหาฯ ภูเก็ตพุ่ง คาดทั้งปีทุบสถิติแซงปี 66

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ภูเก็ต ไม่ใช่แค่เพียงเกาะภูเก็ต แต่ถูกยกระดับให้เป็น 'ประเทศภูเก็ต' ไปแล้ว ด้วยเหตุหลายอย่าง ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจภายในภูเก็ต มีส่วนสำคัญขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศไทยเช่นกัน เนื่องจากการท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่างมาก นักท่องเที่ยวทะลักไหลเข้ามาเยือนและอยู่อาศัย มีการประเมินว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเข้าสู่ภูเก็ตในช่วงปลายปีสูงถึง 16 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด คาดสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมหาศาลเกินกว่า 5 แสนล้านบาท ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ร้อนแรงไม่ต่างกัน ดีเวลลอปเปอร์บางรายแม้จะมีเงิน แต่ใช่ว่าจะสามารถหาซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้ ยิ่งแปลงงาม ใกล้ทะเล หาไม่ได้แล้ว เช่น ย่านเชิงทะเล-หาดบางเทา ทำให้ผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯ ต้องพุ่งเป้าร่วมทุน (JV) กับผู้ประกอบการในท้องถิ่น อาศัยจุดแข็งเรื่องแลนด์แบงก์ ฐานลูกค้า แบรนด์ที่เป็นรับรู้ในตลาด ร่วมกันพัฒนาโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการประเมินคร่าวๆ การลงทุนโครงการใหม่ในปีนี้มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มวิลล่าหรูจะมาแรง แซงคอนโดฯ

และที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ มองไปข้างหน้า 5 ปี 'ภูเก็ต' ยังโตไม่แผ่ว อานิสงส์ยังช่วยกระจายความเจริญไปสู่จังหวัดใกล้เคียง ให้ได้รับแรงบวกจากการลงทุนใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งเริ่มเห็นผู้ประกอบการภาคอสังหาฯ ไทยและนักลงทุนจากต่างประเทศขยับขยายไปลงทุนเปิดโครงการใหม่รองรับกำลังซื้อ ในต้นทุนที่ดินที่ยังสูงไม่มาก!

ที่น่าสนใจก่อนจะจบปี 2567 เห็นความเคลื่อนไหวบริษัทอสังหาฯ ประกาศแผนเติมโครงการใหม่ข้าสู่อสังหาฯ ภูเก็ต ไปถึงปี 2568 เช่น บมจ.แอสเซทไวส์ฯ บมจ.ออริจิ้นฯ บมจ.ศุภาลัย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนาฯ บริษัท กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง จำกัด บริษัทร่วมทุน 4 พันธมิตร บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท อาณา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และล่าสุด บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ขยับลงทุนเปิดโครงการคอนโดฯ โลว์ไรส์ครั้งแรก มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็นต้น


ขณะที่แสนสิริ ปักหมุดตั้งออฟฟิศแห่งที่ 2 ในภูเก็ต รองจากกรุงเทพฯ ซึ่งแสนสิริพัฒนาอสังหาฯ ในภูเก็ตอย่างสม่ำเสมอมากว่า 13 ปี และเดินหน้าใส่เงินทุนตามแผนใหม่ 5 ปี (2568-72)

นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ ให้ความเห็นว่า 13 ปีที่ผ่านมา พัฒนา 27 โครงการอสังหาฯ จำนวน 8,382 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 26,590 ล้านบาท และภายใน 5 ปี ลงทุนเปิดอีก 27 โครงการ มูลค่า 25,000 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะสร้างรายได้ให้แสนสิริสะสม 51,590 ล้านบาท หลังมั่นใจศักยภาพของจังหวัดภูเก็ต ทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ และจากนโยบายยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศไทย ได้ช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” ที่ล่าสุดสร้างปรากฏการณ์ “Always High Season” หรือการท่องเที่ยวของภูเก็ตที่ไม่มีโลว์ซีซันอีกต่อไป

"จากศักยภาพที่หลากหลายของภูเก็ต สอดคล้องกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว การขนส่ง และศูนย์กลางการบินของภูมิภาค พร้อมส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งชายฝั่งทะเลอันดามัน จากแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น Seaplane Terminal ท่าอากาศยานอันดามัน การขยายสนามบินภูเก็ต และการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เพื่อรองรับ Cruise Terminal" นายอุทัย กล่าว


โดยแสนสิริได้กำหนดภูเก็ต เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ (Strategic Location) ที่สำคัญของบริษัทในการดำเนินธุรกิจ ล่าสุดได้ลงทุน 100 ล้านบาท เปิดตัว “The Society” (เดอะโซไซตี้) Social Space แห่งแรกของแสนสิริในภูเก็ต ใจกลางย่านเชิงทะเล-บางเทา เดสติเนชันใหม่ที่ทุกคนไม่ควรพลาด

นายอุทัยกล่าวว่า ในปีนี้แสนสิริมีการเปิด 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ และบ้านเดี่ยว โดยยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี ขึ้นอยู่แปลงที่ดินและโอกาส ในปีนี้เราคาดว่าจะมียอดขายเฉพาะในภูเก็ตสูงถึง 2,000 ล้านบาท และจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

"ลงทุนซื้อที่ดินปีนี้ไม่มากเหมือนช่วงโควิดที่มีงบจัดซื้อที่ดินเป็นหมื่นล้านบาท ตอนนี้เรามีเพียงพอแล้ว โดยธุรกิจปี 68 เราต้องมองเรื่องของเศรษฐกิจด้วย ยกตัวอย่างถ้าจีดีพีสูงเกินกว่าร้อยละ 3 เรา (อสังหาฯ) จะเติบโตกว่า แต่คงไม่มีสูตรแน่ชัดว่าจะเป็น 1.5 เท่า ไม่เหมือนเดิม เพราะมีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือน ทำให้คนที่อยากมีบ้านก็ไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยราคา 3 ล้านบาท ตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อสูงมาก บางโครงการรีเจ็กเรตกว่าร้อยละ 50 แต่ที่ชัดเจนของแผนธุรกิจปีหน้ายังเดินหน้าตามแผนลงทุนในหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หัวหิน หรืออาจจะเพิ่มในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมเคยไปเปิดตลาดคอนโดฯ แบรนด์ ดีคอนโด"


"แค๊ปสโตนฯ" เปิดมิกซ์ยูส 'เพย์ลา ภูเก็ต บางเทา'

นายฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด เปิดเผยถึงศักยภาพทำเลบางเทาว่า "แม้ว่าเป็นทำเลที่มีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ในระดับเซกเมนต์ที่เราพัฒนานั้นมีคู่แข่งไม่มาก และราคาที่ดินที่ได้มามีการล็อกราคาย้อนหลังไว้แล้ว 1 ปี โดยปัจจุบันทำเลบางเทา ราคาที่ดินอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาทต่อไร่"

โดยล่าสุด บริษัทได้พัฒนาโครงการ "เพย์ลา ภูเก็ต บางเทา" ซึ่งจะมีความเป็นมิกซ์ยูส บริเวณหาดบางเทา บนพื้นที่ 10 ไร่ 3 งาน 9 ตารางวา (17,236 ตร.ม.) ในส่วนแรกจะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ หรู สูง 7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 408 ยูนิต ออกแบบในสไตล์ “โมเดิร์น ทรอปิคอล” ผสมผสานกับการตกแต่งภายในในสไตล์ “โคสตัล ชิค” ประกอบด้วยห้องพักหลากหลายประเภท ได้แก่ ห้อง 1 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้นที่ 45 ตร.ม.ห้องขนาดใหญ่ 2 ห้องนอน ขนาด 82 ตร.ม. และขนาด 90 ตร.ม.รวมไปถึงห้องพิเศษคอมไบน์ 3 ห้องนอน ขนาด 127 ตร.ม. ห้องพักทุกห้องมาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด พร้อมย้ายเข้าอยู่ได้อย่างไร้ความกังวล

โดยมีการออกแบบให้อาคารทั้งสามอยู่ล้อมรอบลานกว้างขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่โครงการทั้งหมด ราคาเริ่มต้นที่ 5.5-20 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 120,000 บาทต่อ ตร.ม. มูลค่าโครงการประมาณ 3,400 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มชาวยุโรป รวมไปถึงรัสเซีย สหรัฐฯ และจีน เป็นต้น โดยมอบหมายให้บริษัท ซีบีอาร์อี(ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาและบริหารโครงการ ซึ่งจะเริ่มเปิดขายตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป โดยสำนักงานขายอย่างเป็นทางการจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

"มั่นในว่าโครงการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากการการันตีผลตอบแทนจากการลงทุนโครงการในภูเก็ตนั้นสูงถึงร้อยละ 8-11 ขณะที่ในกรุงเทพฯ นั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนยังไม่ถึงตัวเลข 2 หลัก อีกทั้งราคาอสังหาฯ ในภูเก็ตนั้นยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับย่านซีบีดีใน กทม. เพราะผู้เช่าในพื้นที่ภูเก็ตล้วนมีกำลังซื้อที่สูง"

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาโรงแรมแบรนด์ระดับบน รูปแบบ “ลักชัวรี ไลฟ์สไตล์” และพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาพื้นที่แบบผสมผสาน บริหารโดยเชนระดับอินเตอร์เนชันแนล โดยจะตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดประมาณ 2 ไร่ (3,200 ตร.ม.) บริเวณย่านนาใต้ จ.พังงา เพื่อรองรับการเติบโตของพื้นที่ดังกล่าวและสนามบินพังงา หรือสนามบินอันดามัน ที่จะเปิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีทั้งหมด 170 ห้องพัก คาดว่าราคาจะอยู่ที่ประมาณ 14,000 บาทขึ้นไปต่อคืน มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในกลางปี 2568

“โครงการนี้อาจจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการทั้งใน กทม.และภูเก็ต ซึ่งการร่วมทุนพัฒนาของเราจะเน้นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ ด้วยกัน ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการ มีความเข้าใจในการทำธุรกิจ ทำให้การทำงานร่วมกันได้ง่ายกว่ากลุ่มทุนที่มาจากธุรกิจอื่น”


ยอดขายในภูเก็ตครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 142%

น.ส.อาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยของเกาะภูเก็ตที่แข็งแกร่ง เป็นผลมาจากชื่อเสียงของเกาะ ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนระดับโลกและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ที่มั่นคง ภาคการท่องเที่ยวของภูเก็ตยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 61% และชาวไทยเพิ่มขึ้นจาก 24% เป็น 39% อีกทั้งโครงการพัฒนาสนามบินภูเก็ต เฟสที่ 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2563 รองรับนักท่องเที่ยวได้ 18 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 360,174 ล้านบาท

ส่วนท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน (พังงา) คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2574 รองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 22.5 ล้านคนต่อปี อีกทั้งมีการสร้างทางด่วนใหม่เชื่อมต่อ กระทู้-หาดป่าตอง และภูเก็ตยังมีโรงเรียนนานาชาติที่มาก ซึ่งบ่งบอกถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการเติบโตและมีศักยภาพ ส่งผลให้ชาวต่างชาติและคนไทยส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติในภูเก็ตเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีโรงเรียนนานาชาติในภูเก็ตทั้งสิ้น 11 แห่ง ปัจจุบันมีมากถึง 16 แห่ง

สำหรับ 5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในภูเก็ต ปี 2567 มากสุดได้แก่ รัสเซีย จีน อินเดีย คาซัคสถาน และเยอรมนี


อีกทั้งพบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าเกาะภูเก็ตเพิ่มขึ้นกว่า 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการเข้าพักโรงแรม ณ ครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 71.5% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี ด้วยเหตุนี้ ตลาดบ้านพักตากอากาศจึงมีการเติบโตที่สูง โดยมียอดขายของทั้งปี 2566 เพิ่มขึ้นกว่า 150% เมื่อเทียบกับปี 2565 ถือว่าเป็นสถิติยอดขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาะภูเก็ต ทั้งนี้เมื่อเทียบยอดขายครึ่งปีแรกของปี 2567 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามียอดขายที่ทุบสถิติสูงขึ้นไปอีก โดยเพิ่มขึ้นกว่า 142% ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่แข็งแกร่งในอดีต อัตราการเข้าพักโรงแรมที่สูง และมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งเสริมให้เกาะภูเก็ตมีชื่อเสียงในฐานะจุดหมายของการลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น