xs
xsm
sm
md
lg

EE อาจซ้ำรอย MPIC...สุดท้ายรายย่อยตาย / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นบริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE พุ่งทะยานทะลุเพดานสูงสุด 30% มา 3 วันติดแล้ว เพียงเพราะข่าว “นอท กองสลากพลัส” หรือนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ผู้มั่งคั่งจากการค้าลอตเตอรี่ เข้ามาซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1,607 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 57.81% ของทุนจดทะเบียน

ผู้ถือหุ้นเดิมหุ้น EE คือกลุ่มนายฉาย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ NATION ซึ่งขายให้นายพันธ์ธวัชเกือบทั้งหมด ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 14 สตางค์

ทันทีที่ทำรายการซื้อขายรายใหญ่ หรือบิ๊กล็อตผ่านตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร โครงสร้างธุรกิจ การเปลี่ยนชื่อบริษัท และการเพิ่มทุน

นายพันธ์ธวัชขึ้นมาเป็นประธานกรรมการบริษัท และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจ TECH ซึ่งจะเริ่มในปี 2568 คาดว่าจะมีผลตอบแทน 12% นอกจากนั้นจะเพิ่มทุนจำนวน 2,780 ล้านหุ้น เสนอขายบุคคลในวงจำกัด 5 ราย ในราคาหุ้นละ 19 สตางค์

ราคาหุ้น EE เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมปิดที่ 20 สตางค์ แต่ 3 วันทำการถัดมาพุ่งทะลุเพดาน 30% ติดต่อกัน จนล่าสุดวันที่ 9 ธันวาคมขึ้นมาปิดที่ 47 สตางค์ รวม 3 วันเพิ่มขึ้น 27 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 135%

นายพันธ์ธวัชซึ่งซื้อหุ้นจากกลุ่มนายฉาย 1,607 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 14 สตางค์ กำไรไปแล้วหุ้นละ 33 สตางค์ หรือกำไรประมาณ 230% ส่วนบุคคลในวงจำกัด 5 รายที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2,780 ล้านบาท ในราคาหุ้นละ 19 สตางค์ มีกำไรล่วงหน้าไปแล้วประมาณ 150%

ความร้อนแรงของ EE ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องออกมาเตือนนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย และขอให้ EE ชี้แจงการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนมากให้บุคคลในวงจำกัดและการลงทุนในธุรกิจ TECH ที่ระบุว่า จะให้ผลตอบแทน 12% โดยขอให้ชี้แจงข้อซักถามภายในวันที่ 11 ธันวาคมนี้

ความร้อนแรงของหุ้น EE เมื่อมีข่าว “นอท กองสลากพลัส” เข้ามาเทกโอเวอร์หรือครอบงำกิจการ ไม่แตกต่างจากความร้อนแรงหุ้น บริษัท เอ็มพิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC เมื่อมีข่าว นายขันเงิน เนื้อนวล นักร้องชื่อดังเข้ามาเทกโอเวอร์ เปลี่ยนชื่อบริษัท และเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจใหม่

นายขันเงิน ทำรายการบิ๊กล็อต เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ซื้อหุ้น MPIC จากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR จำนวน 1,202.13 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 92.46% ของทุนจดทะเบียน ในวงเงิน 650 ล้านบาท และจัดทำคำเสนอซื้อหรือเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นที่เหลือในราคาหุ้นละ 1.50 บาท

ราคาหุ้น MPIC พุ่งทะยานไปก่อนหน้าที่จะมีข่าวนายขันเงิน เข้ามาเทกโอเวอร์ เหมือนมีอินไซเดอร์ หรือผู้ที่รู้ข่าววงในเข้ามาเก็บหุ้นล่วงหน้า และเมื่อประกาศข่าว ราคาหุ้นถูกลากขึ้นไปชนเพดานสงสุด 30% สองวันซ้อน โดยราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 3.12 บาท ก่อนอ่อนตัวลง

MPIC ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นบริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) หรือ ZAA ดำเนินธุรกิจความบันเทิงครบวงจร แต่ระยะเวลาผ่านไป 1 ปีเศษ ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านผลประกอบการที่ดีขึ้นหลังนายขันเงินเข้าบริหาร โดยผลประกอบการปี 2566 ขาดทุน 49.73 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ขาดทุน 30.27 ล้านบาท

ราคาหุ้น ZAA เงียบสงบมานานแล้ว เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 60-90 สตางค์ ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่เบาบาง วันละเพียงไม่กี่หมื่นบาท

หุ้น ZAA วันนี้เป็นหนังคนละม้วนจากช่วงที่นายขันเงินเข้ามาเทกโอเวอร์ใหม่ จากการซื้อขายที่คึกคัก ราคาหุ้นพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง กลายเป็นหุ้นที่หงอยสนิท กลายเป็นหุ้นที่สิ้นฤทธิ์ไร้ความน่าสนใจ

ไม่อาจบอกได้ว่า หุ้น EE จะปิดฉากซ้ำร้อยหุ้น ZAA หรือไม่ เพียงแต่มาใน “ทรง” เดียวกับ ZAA

เพียงมีข่าว “นอท กองสลากพลัส” เทกโอเวอร์ เปลี่ยนธุรกิจใหม่ แมลงเม่าฝูงใหญ่ก็วิ่งเข้าไปลุยหุ้น EE เก็งกำไรกันอย่างไม่กลัวตาย ไม่คำนึงว่า ต้องเข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่แพงกว่า “เจ้ามือ” กี่เท่าตัว

ไม่กังวลว่า ธุรกิจใหม่ของ EE ที่ถูกวาดภาพไว้อย่างสวยหรู จะเป็นจริงหรือเป็นได้แค่ความฝัน

EE จะปิดฉากโดยบรรดานักเก็งกำไรรายย่อย "ติดดอย" กันเกลื่อน ซ้ำรอย MPIC หรือไม่ คำตอบคงอยู่ไม่นานเกินรอ








กำลังโหลดความคิดเห็น