เคยได้ยินไหมว่าทุกพัฒนาการด้านการสื่อสารคือ ก้าวุกระโดดแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และทุกการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมาพร้อมกับโอกาส
กิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ. โปรเอ็น คอร์ป ยอดฝีมือผู้มากด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจไอที อินเทอร์เน็ตมากว่า 20 ปี เผยมุมมองยุค ดิจิทัล AI กับประโยคที่ว่า "ถ้าเราไม่ช่วงชิงต่อนนี้จะมีโอกาสอีกเมื่อไร"
ใครจะรู้บ้างว่าเรื่องราวของ "กิตติพันธ์" บนเส้นทาง ธุรกิจด้านเทคโนโลยีมีจุดเริ่มต้นเล็กๆ จากร้านอินเทอร์เน็ต ก่อนจะมองเห็นโอกาสจากการพัฒนาของเทคโนโลยีไต่เต้ามาตามลำดับ และกำลังพยายามขับเคลื่อนบริษัทแห่งนี้ขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์อันดับ 1 ของไทยให้ได้ตามแผนในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ร้านเน็ตแหล่งขุมทรัพย์ต่อยอดสู่ดาต้าเซ็นเตอร์หลายคนอาจมองข้ามร้านอินเทอร์เน็ตที่ปัจจุบัน ทุกอย่างสามารถอยู่บนมือถือได้แล้ว แต่สิ่งที่กิตติพันธ์ขุดพบจากร้านอินเทอร์เน็ตกลับเป็นขุมทรัพย์ และ ขุมทรัพย์ที่ว่าก็ทำให้เขารู้ถึงความต้องการของลูกค้า และนำมาต่อยอดธุรกิจได้จนถึงทุกวันนี้ โดยคุณกิตติพันธ์เล่าถึงเรื่องนี้ว่า การเติบโตของเราในอดีตจะมาจากความ ต้องการที่เพิ่มขึ้นตามเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น
เราเริ่มต้นจากร้านอินเทอร์เน็ตจากจุดนั้นมาก็ค่อยๆ ต่อยอดมาเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากว่าพอทำร้านเน็ต มันมีทรัพยากรเหลือทั้งเรื่องของไอพีแอดเดรส เรื่องของความเร็วสปีดอินเทอร์เน็ต ช่วงนั้นจึงมองหาอะไรที่มัน ต่อยอดได้บ้าง สิ่งที่เราต่อยอดช่วงแรกคือการดีไซน์เว็บไซด์ รีจีเตอร์โดเมนเนม การเป็นเว็บโฮสติง เราค่อยๆเริ่มจนทุกวันนี้เราอยู่ในวงการนี้มานานกว่า 20 ปีแล้วตั้งแต่ยุคเริ่มแรก
หลังจากที่เราทำเว็บโฮสติ้งมันทำให้เราต้องมีเซิร์ฟเวอร์ จาก 1 เป็น 2 เป็น 3 เริ่มขยายมาเรือยๆ เพราะ สิ่งที่มันเติบโตช่วงนั้นคืออีเมลเซิร์ฟเวอร์ ตัวเว็บโฮสติงที่เอาไว้รองรับบริการลูกค้า เมื่อจำนวนเชิร์ฟเวอร์เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยเครื่อง ทำให้อาคารที่เราเช่าอยู่มันเริ่มไม่สามารถซัปพอร์ต เราได้ ทั้งเรื่องของสายไฟ สายสัญญาณ ที่วิ่งขึ้นตึก มันมีขีดจำกัดอยู่พอสมควร จากจุดนั้นทำให้เราเริ่มต้นหาจุดที่เหมาะสมในการทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์
ทุกการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมาพร้อมกับโอกาส
ผมเห็นโอกาสเกิดขึ้นตลอดเวลา หลังจากเทคโนโลยีเปลี่ยนปุ๊บโอกาสมันก็มาตลอด อย่างเช่นจากเดิม เรดิโอสตรีมมิงมีแต่เสียง พอเราสามารถส่งผลข้อมูลได้มากขึ้นเราก็เอากล้องไปติดที่บูทดีเจ กลายเป็นเว็บแคมที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้เรามีลูกค้ามากตามไปด้วยเพราะเราสามารถรองรับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาได้
"เราเห็นโอกาสทุกครั้งที่เทคโนโลยีมันเปลี่ยน แต่เราเองก็มองพื้นฐานที่เหมาะสมรองรับไว้เพื่ออนาคตด้วย ซึ่งในช่วงที่เราหาจุดที่เหมาะสมของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ช่วงแรกเรามองว่าเซิร์ฟเวอร์จะมีจำนวนมาก ระบบไฟ ต้องเสถียร การเอาเจเนอเรอเตอร์ไปเพิ่ม อาคารก็ต้องรองรับได้ ทำให้เราต้องมองหาอาคารที่เหมาะสม ในช่วงแรกๆ เราก็มองว่ามีอาคารไหนที่มีอินเทอร์เน็ตรวมอยู่แล้ว มีระบบเคเบิลที่มีความเพียบพร้อมพอที่จะรองรับการขยายตัวในอนาคต"
สุดท้ายก็ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ที่ CAT บางรัก จาก ห้องประมาณ 50 ตร.ม. เป็นดาต้าเซ็นเตอร์ประมาณ 20แรคได้ เทคโนโลยีในช่วงนั้นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนทั้งเรื่องของการสื่อสาร ที่สามารถรองรับข้อมูลได้มากขึ้น จาก 56 Kbps ที่ใช้ตามบ้านมาเป็น เทคโนโลยี ISDN ในยุคนั้นที่ 128Kbps 256Kbps 512Kbps สปีดอัปขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะสามารถรองรับข้อมูลที่เป็นภาพและเสียงมากขึ้นได้
ต่อมาADSL เริ่มขยับช่วงนั้นเราทำตัว เรดิโอ สตรีมมิงวิทยุออนไลน์ ชื่อสยามเรดโอ ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่ผลิตสื่อต่างๆพยายามจะให้เราไปทำสถานีวิทยุออนไลน์ให้เขา ซึ่งเป็นช่วงทีบูมเกี่ยวกับเรดิโอสตรีมมิ่ง ส่งผลให้ห้องดาต้าเซ็นเตอร์จากเดิมก็ขยายตัวขึ้นมา
AI สมรภูมิที่ภาครัฐและเอกชนต้องช่วงชิง
จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมาทุกอย่างกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของAI ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันแข่งขันและช่วงชิงกับนานาประเทศ โดยคุณกิตติพันธ์ บอกถึงเรื่องนี้ว่า ยุคนี้คงหนีไม่พ้นAIที่ตอนนี้บูมมากและAI จะเป็นตัวนำดาต้าเซ็นเตอร์เนื่องจากว่า AI จะขับเคลื่อนด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ การที่จะมีAI ได้จะต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์รองรับมัน และดาต้าเซ็นเตอร์ต้องเพียบพร้อมในการรองรับAI ด้วย
“ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นพลังขับเคลื่อนAI เปรียบเสมือนสมองกับร่างกายที่ต้องทำงานร่วมกัน AI คือสมอง ดาต้าเซ็นเตอร์คือร่างกาย เมื่อสมองอยู่ในร่างกายที่ดีการทำงานย่อมดีตามไปด้วยมันต้องทำงานสัมพันธ์กัน ฉนั้นการเติบโตของAIที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์ต้องโตตามแน่นอน”
เซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI จะต้องมีประสิทธิภาพ สูงมากๆ ดาต้าเซ็นเตอร์ก็เช่นเดียวกัน ทั้งในเรื่องของไฟฟ้าที่ใช้ปริมาณมากกว่าเดิม 4 เท่าต่อ 1 ตู้แรค เดิมที่ใช้ 3.5-5 กิโลวัตต์ พอมาเป็นAI ไฟฟ้าที่จะต้องเพิ่มให้มันจะสูงขึ้นไปถึง 12-20 กิโลวัตต์ ซึ่งมันมีอัตราการใช้ไฟฟ้าค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นการจัดการเรื่องของความเย็นด้วย และไฟฟ้าที่ต้องเตรียมให้เพียงพอด้วย เรื่องของแบนด์วิธ ในเรื่องของลิ้งค์อินเตอร์เนตที่ต้องเชื่อมต่อกับตัวเซิร์ฟเวอร์ สมมุติว่าลูกค้าเข้ามาใช้แพลตฟอร์ม AI การตอบโต้อย่างรวดเร็วคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ไม่ช่วงชิงตอนนี้อาจไม่มีโอกาสอีก
คุณกิตติพันธ์ เล่าต่อว่า ในตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีมากในการช่วงชิง เพราะทุกประเทศต้องการเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดฯ ฟิลลิปปินส์
ต้องการช่วงชิงตลาดธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อให้แพลตฟอร์ม AI รายใหญ่ระดับโลกเข้ามาอยู่ในประเทศของเขาแต่วันนี้ประเทศไทยเริ่มมีสัญญาณที่ดีไทยต้องรีบช่วงชิงและสนับสนุนในด้านต่างๆ ทั้งการลงทุน พลังงาน การเชื่อมต่อสายเคเบิล และการพัฒนาบุคลากร
ไทยลุ้นเบอร์หนึ่งดาต้าเซ็นเตอร์อาเซียน
ศักยภาพของไทยในการเป็นฮับดาต้าเซ็นเตอร์เราถือว่าไม่แพ้ใคร และน่าจะเป็นที่1ในอาเซียนได้ เนื่องจากไทยมีแผนรองรับด้านพลังงานสะอาดในอนาคต ซึ่งต่างจากสิงค์โปร์ที่ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างจริงจัง การที่ดาต้าเซ็นเตอร์ทยอยเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
“เราได้เปรียบทั้งเรื่อง ความเสถียรของไฟฟ้า พลังงานสะอาด และทำเลที่ดี เดิมทีดาต้าเซ็นเตอร์สิงค์โปร์เป็นพระเอกเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ทุกอย่างมันเริ่มเคลื่อนย้ายมา มาเลเซีย อินโด ฟิลลิปปินส์ ที่เป็นคู่แข่งแต่ถ้ามองแล้วประเทศไทยมีจุดเด่นด้านพลังงานสะอาดที่ล้ำหน้ากว่ามาก ที่ว่าล้ำกว่าคือเราทำเกินคนอื่น เราทำเรื่องของโซลาร์ เรื่องลม เราทำมานานกว่ามาก นอกจากนี้แผนของภาครัฐเองก็ขยายอย่างต่อเนื่อง อย่างพลังงานสะอาดนี่มีแผนการผลิตเพิ่มขึ้นมากถึง 2 พันเมกกะวัตต์ในอนาคต”
ประเทศไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนเพราะปัจจุบันภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก มีการให้สิทธิ์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย การนำเข้าเครื่องจักร ร่วมถึงการเข้ามาซื้อที่ดินของนักลงทุนต่างชาติเพื่อทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ดโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นฮับของธุรกิจนี้ได้ในอนาคต
“ธุรกิจนี้สร้างรายได้ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วแบบทวีคูณ ซึ่งแตกต่างจากภาคการเกษตรและการผลิตที่ค่อยๆเติบโต ถ้าดูตัวอย่างจากสิงค์โปร์จะเห็นได้ชัดเลยว่าทำไมเขาถึงมีรายได้ในระดับสูงได้เพราะรายได้หลักเขามาจากทางนั้น จริงอยู่ในภาคเกษตรของเราก็มีการเติบโต แต่การที่จะเพิ่มรายได้แบบทวีคูณมันเป็นไปไม่ได้ โดยหากจะเพิ่มค่าแรงจาก 400 ขึ้นไปเป็น 1,200 จะต้องมีธุรกิจแบบนี้ภายในประเทศที่จะทำให้เศรษฐกิจของเรามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิม และอัตราการจ้างงานต่อหัวก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นด้วย”
*แนะภาครัฐฮับตัวจริงต้องเชื่อมต่อได้ทั่วโลก
คุณกิตติพันธ์ บอกต่อว่า การที่ไทยจะเป็นฮับของดาต้าเซ็นเตอร์สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือ ภาครัฐยังต้องมีการลงทุนโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำเพื่อการเชื่อมต่อและผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างแท้จริงในอนาคต เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมองเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญอีกด้าน ไม่ว่าจะเป็นGoogle Microsoft เขามองเข้ามาในประเทศไทยเป็นความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างประเทศได้
“สายช่องสัญญาณสื่อสารเหรือเคเบิลใต้ทะเลที่เป็นไฟเบอร์ออฟติกที่ไปเชื่อมกับญี่ปุ่น สิงค์โปร์ ยูโรป อเมริกา ซึ่งปัจจุบันเรามีแค่6เส้นทาง และภาครัฐต้องมีการส่งเสริมให้มากขึ้น การเป็นศูนย์กลางไม่ใช่แค่ดาต้าเซ็นเตอร์มาตั้งเยอะๆ การที่จะเป็นฮับนั่นหมายความว่าเราต้องมีสายสื่อสารที่เชื่อมต่อกับไลน์อื่นได้ และต้องมากและเยอะที่สุดด้วย โดยจุดเด่นของไทยอันแรกเลยมันสามารถเชื่อมแลนด์ไลน์ไปอาเซียนรอบบ้านได้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น พม่า มาเลเซีย ลาว การที่มีคอนเทนต์อยู่แต่ไม่สามารถกระจายไปได้เราก็ไม่ใช่ฮับ อันนี้สำคัญมากๆ เราอยากเห็นการเชื่อมต่อไปจีน อินเดีย ยุโรป อเมริกา ที่เขาเชื่อมต่อกันอยู่เพียงแต่เราจะลากไปเชื่อมกับเขาให้ได้อย่างไรนี่เป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้น”
PROENเบอร์1ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วเราก็พร้อมที่จะเป็นที่1 ของผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ได้ภายใน 3-5 ปี โดยเรื่องนี้คุณกิตติพันธ์ บอกว่าปัจจุบันPROENติด1ใน5ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย และหากเป็นไปตามแผนการสร้าง 100 เมกกะวัตต์ใน3-5ปีเราน่าจะขึ้นมาเป็นอันดับ 1ได้
โดยจจุดเด่นของเราคือ 1.อยู่ในโลเคชั่นที่ดีมาก เรามีทำเลที่ใกล้โซนไฟฟ้าที่รองรับถึง 2 แหล่งจ่ายมาจากคลองตัน และพัฒนาการ ในอนาคตจะเป็นแหล่งศูนย์รวมระบบไฟฟ้ามาซัพพอร์ตเราได้ดี แผนการขยายก็อาจจะขยายบริเวณพื้นที่เดิมเพราะไฟฟ้าสามารถรองรองรับเราได้ถึง 3 แหล่งจ่าย 2.ไซด์เราอยู่ไม่ไกลจากสนามบินอยู่ในเขตปลอดภัย และถือว่าอยู่ใจกลางเมืองที่น่าสนใจ 3.เป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ดีไซน์มาเพื่อรองรับกลุ่มAI โดยเฉพาะ
ส่วนแผนการลงทุนของบริษัทต่อจากนี้3-5ปี เราจะพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ให้ได้ในระดับ 100 เมกกะวัตต์ ซึ่ง1เมกกะวัตต์จะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท และถ้าจะครบตามโปรเจกต์ที่ตั้งไว้น่าจะต้องวางงบลงทุนประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปีนี้จะเริ่มพัฒนาก่อนจำนวน 5 เมกกะวัตต์หรือประมาณ 1.7 พันล้านบาท
“ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เราสร้าง 1 หมื่นตารางเมตร สามารถรองรับเซิร์ฟเวอร์ได้ประมาณ 3 พันตารางเมตร ซึ่งการก่อสร้างในเฟสแรก 1.67 เมกกะวัตต์ จะอยู่ประมาณ 1 พันตารางเมตรและน่าจะเสร็จในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าซึ่งแผนเดิมเราวางไว้จะสร้างแค่ 1 เมกกะวัตต์ แต่พอดาเม็กซ์เข้ามาร่วมลงทุนเพิ่ม เราจึงเปลี่ยนแผนใหม่หมดเป็น 1.67 เมกกะวัตต์ และเสร็จในปีหน้าเป็น 5 เมกกะวัตต์ เนื่องจากลูกค้าแจ้งความต้องการมาเต็มจำนวนแล้วจากข้อมูลของดาเม็กซ์ และจะค่อยๆขึ้นตามในพื้นที่เดียวกันอีกที่ 15 เมกกะวัตต์ภายในปี 2568 โดยจะมีสถานีไฟฟ้าแรงสูงเพื่อรองรับการจ่ายไฟในพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ให้เพียงพอด้วย และตามแผนของเราที่วางไว้คือ100 เมกกะวัตต์ในอนาคต แต่จะเป็นการทยอยก่อสร้างตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก”
ปีหน้ารับรู้รายได้ดาต้าเซ็นเตอร์โตต่อเนื่อง
คุณกิตติพันธ์ บอกเพิ่มเติมว่า ในปีหน้าผลการดำเนินงานของบริษัทน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยดาต้าเซ็นเตอร์น่าจะรับรู้รายได้ครบ 5 เมกกะวัตต์ได้ในปีหน้า แต่จะเป็นรายได้ตามสัดส่วนการร่วมลงทุนกับทางดาแมกซ์ ซึ่งจะคงสัดส่วนที่ 70/30 ในทุกโครงการ ซึ่งตอนนี้ความต้องการของลูกค้ามีมากกว่า 20 เมกกะวัตต์ เรามองว่าการสร้างแต่ละไซส์มันค่อนข้างช้าใช้เวลาประมาณ 8 เดือนถึง 1 ปีที่จะสร้างให้เสร็จ ฉะนั้นเร็วๆนี้น่าจะต้องได้เห็น 20 เมกกะวัตต์และเป็นไปได้ว่าช่วงต้นปี 2569 อาจเห็นจำนวนลูกค้าจองเข้ามามากขึ้น เพราะเราจะทยอยสร้างตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
ปีหน้าถ้ารับรู้รายได้จากการบริการในส่วนของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มมากขึ้นเชื่อว่าจะทำให้ผลดำเนินงานของเรากลับมาเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้า เพราะแผนการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์จะเป็นฐานรายได้ใหม่เพิ่มขึ้นในปีต่อๆไป เช่น 30 ล้านเป็น 50 ล้านบาทตามเมกกะวัตต์และบริการต่างๆที่เพิ่มขึ้น
ทั้งหมดเป็นมุมมองและความเห็นที่น่าสนใจของคุณกิตติพันธ์กับเรื่องราวมี่สั่งสมมานานกว่า 20 ปีบนเส้นทางธุรกิจสายเทคโนโลยี โดยคุณกิตติพันธ์ยังทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า
“ธุรกิจนี้ถือเป็นNEW S CURVE หรือเครื่องจักรใหม่ในการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทย จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโตด้วยการสื่อสาร จากGPRS EDGE ไปถึง5G ทุกการพัฒนาของการสื่อสารมันคือการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่วันนี้การสื่อสารควบคู่กับดาต้าเซ็นเตอร์ และAI และนี่คือกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ที่จะเข้ามาผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไปในอนาคต“